
กล้องติดรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?
1.ช่วยบันทึกการเดินทาง
กล้องติดรถยนต์จะบันทึกเส้นทางการเดินทางของเราไว้ ซึ่งทำให้เราสามารถย้อนกลับมาดูได้ว่าเราไปที่ไหนมาบ้าง หากเราขับรถหลงทางก็สามารถเปิดภาพย้อนกลับเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้องได้ และกล้องติดรถยนต์จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเดินทาง ตรวจสอบประวัติการเดินทางได้สะดวกขึ้น
2.ใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ถือเป็นเหตุผลหลักในการซื้อกล้องติดรถยนต์ เพราะนอกจากจะบันทึกภาพตลอดการเดินทางของเราแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันขึ้น สามารถใช้ภาพที่บันทึกจากในกล้องเป็นหลักฐานในการสู้คดีหรือเคลมประกันได้
3.ช่วยป้องกันภัยจากแก๊งค์มิจฉาชีพบนท้องถนน
มิจฉาชีพสมัยนี้มักหาวิธีใหม่ๆมาเล่นงานเราอยู่เสมอ เช่นกระโดดตัดหน้ารถ หรือแกล้งขับรถล้มโดยจัดฉากให้เราเป็นผู้ก่อเหตุ หากเราติดกล้องหน้ารถไว้ก็จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้เพราะถ้าหากเราไม่มีกล้องติดรถยนต์เป็นพยานอาจทำให้คนขับต้องรับโทษหรือเสียค่าปรับฐานขับรถโดยประมาทได้
4.ช่วยควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่
ถือว่าเป็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการติดกล้องรถยนต์เพราะทำให้เราสามารถย้อนดูพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองได้ ทำให้เราสามารถปรับปรุงการขับขี่ให้ดีขึ้น และยังทำให้เราสามารถตรวจสอบการขับขี่ ตรวจสอบความเร็วในการขับได้อีกด้วย
5.ช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้
และหากใครยังไม่รู้ การติดกล้องติดรถยนต์ช่วยให้เรามีหลักฐานเพื่อเคลมประกันกับบริษัทประกันภัยได้ง่ายขึ้นและคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้บริษัทประกันภัย 5-10% แก่รถยนต์ที่ติดตั้งกล้องติดรถยนต์อีกด้วย

ฮีทสโตรก อันตรายกว่าที่คิด!
ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ มาทำความรู้จักกับโรคลมแดดหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความร้อนสูงเกิน 40 องศา หรือสูงกว่า อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรืออากาศชื้น
หากมีอาการเป็นฮีทสโตรกจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากได้รับการรักษาล่าช้าความเสียหายจะรุนแรงมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทุพพลภาพในระยะยาวหรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
อาการของฮีทสโตรก
- อุณภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศา หรือสูงกว่า
- มีอาการกระสับกระส่าย ปวดศรีษะและหัวใจเต้นเร็ว อาจมีอาการชักเกร็ง
- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ
- ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง
สาเหตุของอาการฮีทสโตรก
- อยู่ในสถานที่อากาศไม่ถ่ายเทและสภาพอากาศร้อนจัด
- ใช้กำลังหรือออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้อุณภูมิภายในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
- ใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปทำให้อุณภูมิในร่างกายไม่ถ่ายเท
- การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการควบคุมอุณภูมิรวมถึงภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อเติมของเหลวที่สูญเสียไปจากการขับเหงื่อ
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ให้ผู้ป่วยอยู่ในร่มหรือในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ
- ถอดเสื้อผ้าบางส่วนออกเพื่อให้อุณภูมิในร่างกายถ่ายเท
- ทำให้ผู้ป่วยมีอุณภูมิเย็นลงโดยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆวางบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ ขณะรอรถพยาบาล และควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นเพราะอาจทำให้เส้นเลือดในกระเพาะอาหารตีบตัน อาจทำให้เป็นตระคริวที่ท้องได้
แนวทางการป้องกัน
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือเสื้อผ้าบางๆ
- สวมหมวกมีปีกเพื่อป้องกันแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มี SPF50++
- ดื่มน้ำหรือจิบน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้ร่างกายกระหายน้ำ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
- งดออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวรที่ร้อน ชื้น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก
การเตรียมการป้องกันและรับมือกับอากาศร้อนจัดในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เราควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพในช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนจัดนะคะ

จอดรถกลางแดดส่งผลเสียกว่าที่คิด
ร่างกายของมนุษย์เราหากโดนแสงแดดเป็นเวลานานๆความร้อนจากแสงอาทิตย์จะส่งผลเสียต่อผิวหนังเช่นเดียวกับการจอดรถตากแดดเป็นเวลานานๆนั้นทำให้เกิดผลเสียให้กับรถยนต์ของคุณมากกว่าที่คิด เพราะการจอดรถตากแดดไว้นานๆแสงแดดอาจทำให้เกิดคสามร้อนสะสมภายในรถและเกิดปัญหาตามมาดังนี้
1.แอร์ทำงานหนัก
หากจอดรถทิ้งไว้กลางแดดนานๆ ภายในห้องโดยสารจะมีความร้อนสะสม เมื่อเราเปิดแอร์หลังจากสตาร์ทรถจะส่งผลให้แอร์ทำงานหนักมากกว่าปกติ ทำให้ระบบแอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
2.สีรถซีดเร็ว
หากเราจอดรถทิ้งไว้กลางแดดนานๆแสงจากรังสียูวีอาจทำให้ตัวรถยนต์มีสีซีดและจางเร็วขึ้นกว่าเดิม
3.ฟิล์มกรองแสงเสื่อมคุณภาพ
แม้ว่าฟิล์มกรองแสงจะเป็นอุปกรณ์ที่มีความทนทานต่อแสงแดด แต่หากจอดรถตากแดดเป็นเวลานานๆฟิล์มกรองแสงก็สามารถเสื่อมสภาพได้ โดยสังเกตได้จากสีของฟิล์มหากสีฟิล์มเริ่มออกม่วงๆหรือฟิล์มเป็นฟองอากาศและออกเป็นขุยนั่นแสดงถึงการเริ่มเสื่อมสภาพของฟิล์มแล้ว
4.ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ความร้อนที่สะสมภายในตัวห้องโดยสาร ส่งผลทำให้ชิ้นส่วนต่างๆภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คิดโดยเฉพาะชิ้นส่วนที่มีหนังเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น คอนโซล พวงมาลัย เบาะรถ จะแห้งกรอบไวกว่าปกติ
5.อุปกรณ์ที่เป็นยางเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
ความร้อนจากแสงแดดส่งผลให้อุปกรณ์ที่เป็นยาง เช่น ขอบกระจกยางปัดน้ำฝน หรือขอบกระจกรถ เกิดการแข็งกระด้างและเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว
6.แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
พบได้บ่อยในแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นเพราะหากจอดทิ้งไว้ในสถานที่ที่มีการระบายความร้อนของรถไม่ดีพอ จะส่งผลให้แบตเตอรี่ทำงานหนักและเสื่อมสภาพได้รวดเร็ว สังเกตได้จากแบตเตอรี่จะเริ่มบวมและรถสตาร์ทติดยากมากขึ้น
7.ยางเสื่อมสภาพไวขึ้น
ถึงแม้ว่ายางรถยนต์จะทนทานต่อความร้อนและแรงเสียดสูงมาก แต่รู้หรือไม่ การจอดรถตากแดดเป็นประจำมีผลทำให้ผิวยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวยางเปราะและเหนียวขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่ยางจะชำรุดในระหว่างใช้งาน

เช็กใบสั่งจราจรได้ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์
ในปัจจุบันเราสามารถเช็กใบสั่งจราจรได้ผ่านเว็บไซต์ หากใครกลัวตกหล่นไม่ได้จ่ายค่าปรับ สามารถเข้าไปเช็กได้โดยต้องเข้าไปลงทะเบียนก่อนตามขั้นตอนดังนี้
1.เข้าเว็บไซต์ https://ptm.police.go.th/ จากนั้นเลือกเมนุลงทะเบียนใช้งาน
2.กรอกข้อมูลส่วนตัวตามบัตรประชาชนและเลขหลังบัตรหรือ Laser ID จากนั้นคลิกถัดไป
3.เลือกรูปแบบข้อมูลที่ต้องการใช้ลงทะเบียนว่าจะใช้เป็นข้อมูลรถที่เป็นเจ้าของหรือใช้ข้อมูลใบขับขี่ โดยจะเลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นกด ถัดไป
4.กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มให้ครบถ้วน จากนั้นกด ถัดไป
5.ระบบจะแสดงข้อมูลทั้งหมดที่ได้กรอกไว้ ทำการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งแล้วกรอกอีเมลเพื่อใช้ในการลงทะเบียน เมื่อเรียบร้อยแล้วให้กด ถัดไป
6.เข้าไปตรวจสอบอีเมลที่ใช้ยืนยัน จากนั้นนำรหัส 6 หลัก ที่ส่งไปยังอีเมลมาใช้เพื่อยืนยันการสมัคร
7.ตั้งรหัสผ่านตามที่ต้องการ คลิก ลงทะเบียน จากนั้นอ่านเงื่อนไข จากนั้นกดยืนยันเท่านี้ก็เรียบร้อย
8.สามารถเข้าสู่ระบบได้โดยใช้เลขบัตรประชาชนและรหัสผ่านที่ลงทะเบียนไว้ในตอนแรก
หลังจากที่ลงทะเบียนเข้าเว็บไซต์เรียบร้อย เราก็สามารถเข้าใช้งานในเว็บไซต์เพื่อตรวจเช็กใบสั่งจราจรได้ง่ายๆ โดยล็อกอินผ่านเลขบัตรประชาชนและรหัสที่ตั้งไว้ จากนั้นใส่ วัน เดือน ปี ที่ต้องการเช็กว่ามีใบสั่งค้างชำระหรือไม่ กรอกทะเบียนรถ จังหวัด หรือเลขที่ใบสั่ง กดที่ค้นหา หากมีใบสั่งขึ้นมาในระบบแสดงว่ามีใบสั่งค้างชำระแต่ถ้าหากไม่มีการค้างชำระระบบจะแจ้งว่าไม่พบข้อมูลใบสั่งในระบบ
ส่วนการชำระค่าปรับ สามารถชำระได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศหรือจะชำระผ่านธนาคารกรุงไทย,ตู้ ATM กรุงไทย,ผ่านแอพ KrungThai NEXT,ตู้บุญเติม หรือใช้บริการรับชำระผ่านไปรษณีย์ไทยก็ได้ โดยต้องชำระใบสั่งภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ได้ใบสั่งมา

5ข้อดีของการทำประกันรถยนต์
1.ช่วยแบ่งเบาค่าซ่อมรถของเราและคู่กรณี
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากเรามีประกันภัยรถยนต์อย่างน้อยเราอุ่นใจได้ว่าไม่ต้องสำรองเงินจ่ายอย่างแน่นอนเพราะประกันรถยนต์จะช่วยจ่ายค่าซ่อมรถทั้งของเราและคู่กรณี
2.ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล
หากเกิดอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวเราหรือคู่กรณีก็ตาม ประกันจะมีค่ารักษาพยาบาลให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา
3.ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเราสามารถโทรหาประกันเพื่อขอความช่วยเหลือจากประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้หากเกิดอุบัติเหตุยามวิกาลหรือเกิดเหตุในต่างจังหวัด บางกรมธรรม์จะช่วยดูแลจัดสรรที่พักให้กับเราอีกด้วย
4.คุ้มครองเมื่อรถหาย เกิดเหตุไฟไหม้และน้ำท่วม
ประกันชั้น 1,2,2+ จะให้ความคุ้มครองในกรณีที่รถหายหรือเกิดอุบัติเหตุน้ำท่วม เราจะได้รับเงินชดเชยตามความคุ้มครองของแต่ละกรมธรรม์แต่จะไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สิน
5.มีรถให้ใช้ระหว่างรอซ่อม
ถ้าเราทำประกันภัยรถยนต์แล้ว เมื่อรถพังและส่งซ่อมระหว่างที่รอรถซ่อมเสร็จนั้นจะมีรถสำรองให้เราใช้ไปพลางๆก่อน หากไม่สะดวกก็ขอรับเป็นค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันชดเชยได้

รวมรายการลดหย่อนภาษี 2567
การเสียภาษีเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ประจำทุกคนต้องจ่ายในทุกๆปีตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อไม่ให้ตัวเราต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เราจึงควรศึกษาและวางแผนเรื่องภาษีให้ดี มาดูกันกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้
1.ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ปีละ 60,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ทันทีทั้งการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ซึ่งหากยื่นภาษีออนไลน์จะมีรายการลดหย่อนส่วนตัวให้อัติโนมัติ
2.ค่าลดหย่อนคู่สมรสใช้สิทธิลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ในกรณีที่ใช้สิทธิลดหย่อนคู่สมรสต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น (หากสมรสไม่ครบปีหรือคู่สมรสเสียชีวิตก็มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีได้) โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้หรือรายได้ในปีนั้นๆ ในกรณีที่สามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ กฎหมายอนุญาตให้ ยื่นภาษีรวมกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้
3.ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย คนละ 30,000 บาท
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายคนละ 30,000 บาท และหากมีบุตรคนที่2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 60,000 บาท สำหรับผู้ที่มีบุตรคุณธรรมหรือมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้สูงสุด 3 คน และจะต้องเป็นบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งกรณีนี้บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี ส่วนบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 21-25 ปี จะต้องอยู่ในระดับปวส. ขึ้นไป และบุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ยกเว้นกรณีที่ได้รับเงินปันผล
4.ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท
โดยบุตรที่เลี้ยงดูพ่อแม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือก็คือพ่อแม่ที่แท้จริง และพ่อแม่ต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ส่วนกรณีที่มีพี่น้องที่มีเงินได้แล้วต้องการใช้สิทธิลดหย่อน ต้องมีการตกลงกันอย่างชัดเจนก่อนว่าใครจะใช้สิทธิตรงนี้ เพราะว่าตามกฎหมายให้ใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำกันได้ ส่วนใครที่ใช้สิทธิลดหย่อนบิดามารดา จะต้องทำหนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อน หรือ ลย.03 ประกอบกัน
5.ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ ใช้สิทธิได้คนละ 60,000 บาท
หากเป็นผู้อุปการะหรือว่าดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท แต่เงื่อนไขคือจะต้องมีหลักฐานในการยื่นประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น บัตรประจำตัวผู้พิการ หรือใบรับรองแพทย์และใบ ลย.04
6.ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ในกรณีที่มีการฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งกรณีที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายแล้วให้เป็นของภรรยา แต่ถ้ากรณีที่ภรรยาไม่มีรายได้ สามีจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตรงนี้แทนได้ ซึ่งจะต้องยื่นควบคู่กับใบเสร็จและใบรับรองแพทย์
7.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน
- ประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
- ประกันชีวิตทั่วไป + สะสมทรัพย์ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสังคม 9,000 บาท
- ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
- กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ 30% แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ 30% ไม่เกิน 200,000 บาท และหากรวมกับกองทุนอื่นๆต้องไม่เกิน 500,000 บาท
8.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
8.1 โครงการช้อปดีมีคืน
สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่เงื่อนไขคือต้องไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งสิทธิลดหย่อนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มสินค้าหรือบริการ 30,000 บาทแรก สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเป็นหลักฐานและค่าสินค้าหรือบริการ 10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
หมายเหตุ : ผู้ที่ถือสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากโครงการช้อปดีมีคืนได้
8.2ลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยบ้าน
หากใครที่ซื้อบ้านหรือคอนโด สามารถนำดอกเบี้ยที่ได้จากการซื้อที่อยู่อาศัย มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องยื่นร่วมกับเอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ออกให้ส่วนกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเฉลี่ยตามจำนวนผู้ร่วมกู้
9.การบริจาคเพื่อลดหย่อยภาษี
เงินบริจาคลดหย่อนภาษี ประกอบไปด้วย
- บริจาคพรรคการเมือง 10,000 บาท
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา สนับสนุนกีฬา พัฒนาสังคมต่างๆ มูลนิธิด้านสาธารณะสุข และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่า ของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคอื่นๆ มูลนิธิและองค์กรณ์สาธารณกุศล ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

เติมน้ำมันผิด แก้ไขอย่างไร?
ปัญหาการเติมน้ำมันผิดมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับหลายคน อาจด้วยความเคยชินจากรถคันเดิมหรือมีรถยนต์หลายคัน ทำให้เกิดความสับสนจนบอกชื่อน้ำมันที่จะเติมผิด วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาบอกวิธีป้องกันและแนวทางการแก้ไขให้ทุกท่านได้อ่านไว้ เผื่อในกรณีที่เกิดปัญหานี้ขึ้นมาจริงๆจะได้แก้ไขอย่างถูกต้อง
เติมน้ำมันผิดจะเกิดอะไรขึ้น?
ผลที่ตามมาคือหัวเทียน ไส้กรอง และระบบเครื่องยนต์เสียหาย หากสตาร์ทรถเครื่องยนต์อาจสะดุดและเครื่องดับไปในที่สุดหรืออาจสตาร์ทไม่ติดเลยเนื่องจากการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินและดีเซลนั้นไม่เท่ากัน เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภทจึงทำให้การเผาไหม้เครื่องยนต์สะดุดและไม่สามารถทำงานต่อได้
วิธีแก้ไขเมื่อรู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแต่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องและยังอยู่ที่ปั้ม
ถ้ายังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ถ่ายน้ำมันที่อยู่ในถังออกให้หมดและไล่ระบบใหม่ เมื่อถ่ายน้ำมันออกหมดแล้วให้เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่ สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ซักพักและสังเกตดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทดสอบอีกครั้งด้วยการเร่งเครื่องพร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะขับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
วิธีแก้ไขเมื่อไม่รู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแล้วรถดับกลางทางขณะวิ่งอยู่บนถนน
ก่อนอื่นเลยถ่ายน้ำมันในถังออกให้หมด ไล่ระบบน้ำมันใหม่ เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่และไล่ระบบน้ำมันอีกครั้ง สำหรับรถที่ใช้เบนซินให้ถอดหัวเทียนออกมาทำความสะอาดใหม่ ส่วนรถที่ใช้ดีเซลให้ถอดเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ หลังจากนั้นพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด ขณะสตาร์ทจะมีอาการติดยากหรืออาจติดแล้วดับ ให้สตาร์ทต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะติด จากนั้นปล่อยให้รถเดินเครื่องเองซักพัก เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบร้อยให้ลองเร่งเครื่อง พร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะชับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
ปัญหาเรื่องการเติมน้ำมันผิดประเภทสามารถเกิดขึ้นได้จากตัวเราและพนักงานปั้ม ดังนั้นก่อนเติมน้ำมันทุกครั้งต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าจะเติมน้ำมันประเภทไหน เพื่อป้องการเติมน้ำมันผิดประเภท

เช็คระยะรถตามกำหนดดีอย่างไร?
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการเช็คระยะมีความจำเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องเช็ค?
เช็คระยะรถยนต์คืออะไร
การเช็คระยะรถยนต์คือการตรวจสอบสภาพรถยนต์ เพื่อช่วยบำรุงรักษา ชะลอความเสื่อมเครื่องยนต์หรือองค์ประกอบภายในเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากถามว่าการเช็คระยะรถจำเป็นไหม ก็ต้องบอกเลยว่าจำเป็นเพราะการไม่ตรวจเช็คระยะรถอาจส่งผลเสียต่อรถยนต์ เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า รถยนต์ผิดปกติตรงไหนบ้าง ดังนั้นควรส่งรถเข้าศูนย์เพื่อเช็คระยะรถยนต์ทุกครั้งเมื่อครบกำหนด
สำหรับช่วงเวลาที่ต้องนำรถเข้าไปเช็คระยะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.นับจากระยะเวลา (เริ่มตั้งแต่วันออกรถ)
2.ดูจากระยะทาง (เลขไมล์ที่ใช้งานไป)
ตรวจเช็คในระยะ 1-6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- ยางรถยนต์และการตั้งศูนย์ล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- จานเบรกและผ้าเบรกหน้า ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะ 6-12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบคลัช พร้อมตรวจดการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันคลัช ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- การสลับยาง การถ่วงล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ที่ปัดน้ำฝนและที่ฉีดน้ำยาล้างกระจก ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบจานเบรคและผ้าเบรคหลัง พร้อมตรวจดูการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันเบรก จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบช่วงล่าง ควรอุดจาระบี ในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- โช๊คอัพ หน้า-หลัง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ล้างเครื่อง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเกียร์ ระบบธรรมดา จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- สายพานขับและสายพานเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบบังคับเลี้ยว สายพานพวงมาลัยพาวเวอร์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบคันชักคันส่ง ลูกหมาก ยางกันฝุ่น จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเบรก น้ำมันคลัช น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันเกียร์ออโต้ น้ำมันหล่อเย็นเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
ข้อดีของการเช็คระยะรถยนต์
การนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนดที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยยืดอายุการทำงานของรถยนต์ เนื่องจากการใช้งานรถทุกวันทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ ดังนั้นการตรวจเช็คจะทำให้เรารู้ว่าช่วงไหนของรถที่เริ่มเสื่อมและทำการเปลี่ยนอะไหล่หรือการซ่อมบำรุง