เมาแล้วขับเคลมประกันได้ไหม?
หลายคนสงสัยว่าหากเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันจะจ่ายไหม? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท รวมถึงถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไปจนถึงการเพิกถอนใบขับขี่ แต่ถ้าคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส โทษจะเป็นจำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท และระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 2 ปี ส่วนการเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000 – 200,000 บาท และผู้ขับขี่จะถูกเพิกถอนใบขับขี่ทันที ในส่วนของการเคลมประกันกรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุแต่ละประกันจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปทั้งประกันภาคสมัครใจและประกันภาคบังคับ
สำหรับประกันภาคบังคับหรือพ.ร.บ.
จะคุ้มครองผู้เอาประกันและคู่กรณีโดยไม่พิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด จะคุ้มครองในส่วนของค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลแต่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถจะไม่คุ้มครอง
สำหรับประกันภาคสมัครใจ
แอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับนั้นต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้นถึงจะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี แต่ถ้าหากแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น ประกันภัยรถยนต์จะไม่คุ้มครองไม่ว่ากรณีใดๆแม้ว่าจะทำประกันชั้น 1 ก็ตาม โดยประกันจะจ่ายค่าความเสียหายให้เฉพาะรถยนต์คู่กรณีเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ทำประกันจะต้องจ่ายเงินส่วนนี้คืนในภายหลังทั้งหมด
พฤติกรรมเมาแล้วขับนอกจากจะได้รับโทษตามกฎหมายแล้วแล้วนั้นอาจเป็นเหตุที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายได้ สรุปเลยก็คือหากเมาแล้วขับ สามารถเคลมประกันได้จากพ.ร.บ.แค่ค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้รักษาได้ทันท่วงทีเท่านั้น ส่วนค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ต้องจ่ายเอง ยิ่งถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น แม้แต่ประกันชั้น 1
เคลมสด เคลมแห้ง ต่างกันอย่างไร?
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า เคลมสด-เคลมแห้ง ว่าแต่ความหมายของสองคำนี้คืออะไรล่ะ? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
ในการเคลมประกันรถยนต์จะมีศัพท์เฉพาะของการเคลมเพื่อเอาประกันภัยนั่นก็คือ เคลมสดกับเคลมแห้ง
การเคลมสด
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นทันทีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกันโดยที่มีคู่กรณีอยู่ด้วย โดยจะติดต่อให้เจ้าหน้าที่ประกันเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบและออกเอกสารสำหรับทำเรื่องเคลม แต่ถ้าหากอุบัติเหตุนั้นมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ อาจต้องเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก โดยใช้หลักฐานเป็นใบขับขี่และหน้ากรมธรรม์ประกันภัยที่เราทำไว้
วิธีการเคลลมสด
- สำรวจความเสียหาย ถ่ายรูปที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นให้นำรถออกเส้นทางจราจร
- ติดต่อบริษัทประกันภัย แจ้งหมายเลขกรมธรรม์ ชื่อ ทะเบียน ยี่ห้อรถ ลักษณะอุบัติเหตุ รายละเอียดและสถานที่เกิดเหตุ
- รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายและออกใบแจ้งเคลม
การเคลมแห้ง
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นหลังจากที่อุบัติเหตุนั้นผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายเล็กๆน้อยๆและไม่มีคู่กรณี เช่น อุบัติเหตุจากการขับชนกำแพง เสาไฟ ขอบถนน ราวสะพาน ฯลฯ จนทำให้รถยนต์เกิดร่องรอยความเสียหาย โดยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขับขี่โดยตรง รวมถึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
**การเคลมแห้งแบบมีคู่กรณีที่ไม่ใช่รถยนต์นั้นจะมีในประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น
วิธีการเคลมแห้ง
- ถ่ายรูปเก็บหลักฐาน จดรายละเอียดอุบัติเหตุ ทั้งวันที่ สถานที่ และลักษณะอุบัติเหตุ
- ติดต่อบริษัทประกันเพื่อแจ้งความเสียหาย
- บริษัทประกันจะตรวจสอบเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น รายการซ่อมแซม หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
- ประเมินค่าใช้จ่าย บริษัทประกันจะทำการประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาการชดเชย
ใบขับขี่หมดอายุเคลมประกันได้ไหม?
หากใครกำลังสงสัยว่าหากใบขับขี่หมดอายุแล้วเกิดรถชนขึ้นมา สามารถเคลมประกันได้ไหม วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
1.กรณีเป็นฝ่ายถูก
หากใบขับขี่หมดอายุ คุณจะยังได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันตามปกติ แต่จะต้องเป็นการเลือกทำประกันรถชั้น1 เท่านั้น เพราะจะคุ้มครองในส่วนของคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้
2.กรณีเป็นฝ่ายผิด
จะแบ่งย่อยได้อีก 3 กรณี ดังนี้
- ลืมพกใบขับขี่ ประกันยังคุ้มครองทั้งรถคุณและคู่กรณีเหมือนเดิม
- ใบขับขี่หมดอายุหรือโดนยึด ประกันจะถือว่าคุณยังมีความสามารถในการขับรถถึงแม้ใบขับขี่จะหมดอายุก็ตาม ก็จะให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์อยู่
- ไม่เคยมีใบขับขี่ ประกันจะคุ้มครองแค่คู่กรณีของคุณเท่านั้น ส่วนรถของเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนค่าซ่อมแซมด้วยตัวเอง
สรุปเลยก็คือหากใบขับขี่หมดอายุสามารถเคลมประกันได้แต่ต้องเป็นการเลือกทำรถชั้น 1 เท่านั้น
กฎหมายจราจร 2567 ค่าปรับเท่าไหร่บ้าง ?
กฎหมายค่าปรับจราจรใหม่ หากขับรถผิดกฎจราจร มีโทษอะไรบ้าง
ขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถผ่านทางม้าลายโดยไม่หยุดให้คนข้าม ปรับไม่เกิน 4,000 ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ขับรถโดยไม่คำนึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น ปรับไม่เกิน 5,000 – 20,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ( เดิม 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )
เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ไม่นั่ง Car Seat ปรับ 2,000 บาท
ขับขี่บนทางเท้า ปรับ 400 – 1,000 บาท และผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
ไม่หยุดรถหลังเส้นหยุดรถบริเวณสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (โดยไม่มีเครื่องหมายจราจรอนุญาต) ปรับ 400 – 1,000 บาท
ไม่ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดก่อนหรือระหว่างขับขี่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แข่งรถบนถนนสาธารณะ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถเหยียบสุนัข โดนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถเหยียบน้ำกระเด็นใส่ผู้อื่น ปรับสูงสุด 10,000 บาท โทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน
นอกเหนือจากนี้ ยังมีค่าปรับอัตราโทษอื่นๆ อีก สามารถเข้าไปดูได้ที่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13 ) พ.ศ. 2565 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากสายด่วนจราจร 1197
5 ข้อควรระวัง เวลาขับรถตอนฝนตกหนัก
ในช่วงนี้อาจมีฝนตกบ้างในบางวัน แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าช่วงเวลาปกติ ด้วยปัจจัยหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ฝนตกถนนลื่นหรือตกหนักจนไม่สามารถมองเห็นถนน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ไพศาลแคปปิตอลมี 5 ข้อควรระวังมาแนะนำผู้ใช้รถในช่วงหน้าฝนนี้
1.ไม่ควรขับรถเร็วจนเกินไป
ขณะที่ฝนตกอาจทำให้พื้นถนนลื่นและน้ำฝนที่สาดลงมายังกระจกหน้ารถอาจส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองถนนลดลง อาจทำให้ผู้ขับมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางบนถนน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
2.ระวังการเบรก
ไม่ควรเบรกแบบกะทันหันเพราะขณะที่ฝนตกพื้นถนนจะมีความลื่นหรือมีน้ำขังอยู่ที่พื้น อาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่หรือเสียการควบคุมระหว่างเบรกได้
3.เปิดไฟหน้ารถและไฟตัดหมอก
ในขณะที่ฝนตกหนักการเปิดไฟหน้าช่วยให้เรามองเห็นสถานการณ์ด้านหน้าได้ชัดเจนและยังช่วยให้รถที่ขับตามหลังหรือขับสวนมา สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลว่ามีรถขับอยู่
4.ไม่ควรเปลี่ยนเลนกะทันหัน
เพราะหากมีรถขับตามหลังเลนที่เราเปลี่ยนกะทันหันขับตามมาอย่างกระชั้นชิด อาจจะทำให้เบรกไม่ทันจนชนท้ายรถเราได้
5.ประเมินระดับความลึกของน้ำที่ท่วมขังให้ดี
หากบนถนนเกิดน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังให้เราประเมินระดับความลึกของน้ำคร่าวๆก่อนที่จะขับผ่าน หากจำเป็นที่จะต้องขับผ่านน้ำท่วมขังควรปิดระบบแอร์และใช้เกียร์ต่ำ
ทำไม? ต้องติดแถบสะท้อนแสงรถบรรทุก
แถบสะท้อนแสง หรือ สติ้กเกอร์สะท้อนแสง มีไว้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในเวลากลางคืน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลากลางคืนเนื่องจากรถคันอื่นไม่สามารถมองเห็นรถบรรทุกได้อย่างชัดเจน กรมขนส่งทางบกจึงมีมาตรการให้ “รถโดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุก ทุกคัน” ที่ทำการจดทะเบียนใหม่ จำเป็นต้องติดแผ่นสะท้อนแสง ที่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืน โดยต้องติดให้มองเห็นจากระยะไม้น้อยกว่า 150 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2561 เป้นต้นไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นตำแหน่งของรถในเวลากลางคืนเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
แผ่นสะท้อนแสง มีกี่สี สีอะไรบ้างและใช้งานอย่างไร?
แถบสะท้อนมี 3 สี สีแดง สีเหลือง สีขาว
สีแดงและสีเหลือง : สำหรับติดแนวยาวรอบขอบทุกด้านท้ายรถ
สีขาวและสีเหลือง : สำหรับติดแนวยาวขอบด้านข้างรถหรือเพิ่มเติมเฉพาะมุมด้านบนเพื่อแสดงระยะความสูงของรถ
อุปกรณ์สะท้อนแสง
ต้องมีคุณสมบัติที่ทำให้มองเห็นชัดได้ในเวลากลางคืน ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ติดตั้งที่ความสูงจากพื้น 25-90 เซนติเมตร
ด้านท้ายรถ : ใช้อุปกรณ์สะท้อนแสงสีแดง
ด้านข้างรถทั้งสองข้าง : ใช้อุปกรณ์สะท้อนแสงสีเหลืองอำพัน
แผ่นสะท้อนแสง
ต้องมีความกว้างตามมาตรฐานที่ 5-6 เซนติเมตร ติดตั้งที่ตำแหน่งสูงจากพื้น 25-150 เซนติเมตร
ด้านท้ายรถ : ต้องติดตั้งเป็นแนวยาวรอบขอบทุกด้านโดยใช้แผ่นสะท้อนแสงสีแดงหรือสีเหลือง
ด้านข้างรถทั้งสองข้าง : ติดตั้งเป็นแนวยาวเฉพาะขอบด้านล่างและติดตั้งเพิ่มเติมเฉพาะที่มุมด้านบนเพื่อแสดงระยะความสูงของรถหรืออาจติดตั้งเป็นแนวยาวรอบขอบทุกด้านได้เช่นเดียวกัน โดยใช้แผ่นสะท้อนแสงสีขาวหรือสีเหลือง
แนวทางการติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงบนรถบรรทุก
1.เตรียมพื้นผิว
โดยการทำความสะอาดพื้นผิวรถที่จะติดด้วยน้ำยาล้างรถหรือน้ำยาล้างจานที่ไม่มีส่วนผสมของมะนาวจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดน้ำให้แห้งสนิทด้วยผ้า หรือกระดาษทิชชู่ให้ปราศจากคราบน้ำ ฝุ่น ผง หรือสิ่งสกปรก
*ในกรณีพื้นผิวมีสีทาอยู่ อาจต้องขัดสีออกก่อนการติดแผ่นสะท้อนแสง ถ้าหากไม่สามารถขัดชั้นสีออกได้ แผ่นสะท้อนแสงอาจหลุดล่อนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากาการหลุดล่อนของชั้นสี
2.กำหนดบริเวณที่จะติดให้ชัดเจนและวัดความยาวของแผ่นสะท้อนแสงให้พอดี
เนื่องจากแผ่นสะท้อนของแท้จะมีกาวที่มีความเหนียวและการยึดเกาะสูงมาก เมื่อติดแล้วไม่ควรลอกออกแล้วติดซ้ำ เพราะอาจะทำให้สีรถลอกได้ จึงควรขีดตำแหน่งตลอดแนวการติดแผ่นสะท้อนแสงด้วยดินสอ จะป้องกันเรื่องการติดผิดตำแหน่งหรือติดเอียงได้ หลังจากที่ติดเรียบร้อยแล้วให้ตัดมุมที่แผ่นออกเพื่อความสวยงามและป้องกันผ้าเช็ดรถมาเกี่ยวตรงมุมสติ้กเกอร์จนทำให้มุมหักหรือฉีกได้
3.ติดและรีดสติ้กเกอร์
ลอกสติ้กเกอร์สะท้อนแสงที่บริเวณปลายแล้วทาบลงบนตำแหน่งริมสุดที่จะติดตั้ง แล้วดึงสติ้กเกอร์สะท้อนแสงให้ตรงตำแหน่งแล้วลอกออกจากนั้นใช้แผ่นรีดหรือแผ่นอะไรก็ได้ แล้วใช้ผ้านิ่มๆไม่เป็นขุยพันทับแผ่นรีดหลายๆชั้น จากนั้นใช้แผ่นรีดกดทับบนแผ่นสะท้อนแสงให้แนบสนิทกับพื้นผิวเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
แถบสะท้อนแสงต้องติดกับรถอะไรบ้าง
รถบรรทุก / รถพ่วง / รถบรรทุกตู้สินค้า ทุกชนิด
รถเก็บขยะ / รถดับเพลิง
รถบรรทุกรถยนต์
รถแอมบูแลนซ์ ติดที่แถบด้านข้างยาวตามแนวรถ
นอกจากการติดแถบสะท้อนแสงเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุแล้ว ตัวเราเองก็ต้องขับรถอย่างระมัดระวังและมีสติในการขับอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย
กล้องติดรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?
1.ช่วยบันทึกการเดินทาง
กล้องติดรถยนต์จะบันทึกเส้นทางการเดินทางของเราไว้ ซึ่งทำให้เราสามารถย้อนกลับมาดูได้ว่าเราไปที่ไหนมาบ้าง หากเราขับรถหลงทางก็สามารถเปิดภาพย้อนกลับเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้องได้ และกล้องติดรถยนต์จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเดินทาง ตรวจสอบประวัติการเดินทางได้สะดวกขึ้น
2.ใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ถือเป็นเหตุผลหลักในการซื้อกล้องติดรถยนต์ เพราะนอกจากจะบันทึกภาพตลอดการเดินทางของเราแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันขึ้น สามารถใช้ภาพที่บันทึกจากในกล้องเป็นหลักฐานในการสู้คดีหรือเคลมประกันได้
3.ช่วยป้องกันภัยจากแก๊งค์มิจฉาชีพบนท้องถนน
มิจฉาชีพสมัยนี้มักหาวิธีใหม่ๆมาเล่นงานเราอยู่เสมอ เช่นกระโดดตัดหน้ารถ หรือแกล้งขับรถล้มโดยจัดฉากให้เราเป็นผู้ก่อเหตุ หากเราติดกล้องหน้ารถไว้ก็จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้เพราะถ้าหากเราไม่มีกล้องติดรถยนต์เป็นพยานอาจทำให้คนขับต้องรับโทษหรือเสียค่าปรับฐานขับรถโดยประมาทได้
4.ช่วยควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่
ถือว่าเป็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการติดกล้องรถยนต์เพราะทำให้เราสามารถย้อนดูพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองได้ ทำให้เราสามารถปรับปรุงการขับขี่ให้ดีขึ้น และยังทำให้เราสามารถตรวจสอบการขับขี่ ตรวจสอบความเร็วในการขับได้อีกด้วย
5.ช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้
และหากใครยังไม่รู้ การติดกล้องติดรถยนต์ช่วยให้เรามีหลักฐานเพื่อเคลมประกันกับบริษัทประกันภัยได้ง่ายขึ้นและคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้บริษัทประกันภัย 5-10% แก่รถยนต์ที่ติดตั้งกล้องติดรถยนต์อีกด้วย
ฮีทสโตรก อันตรายกว่าที่คิด!
ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ มาทำความรู้จักกับโรคลมแดดหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความร้อนสูงเกิน 40 องศา หรือสูงกว่า อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรืออากาศชื้น
หากมีอาการเป็นฮีทสโตรกจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากได้รับการรักษาล่าช้าความเสียหายจะรุนแรงมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทุพพลภาพในระยะยาวหรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
อาการของฮีทสโตรก
- อุณภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศา หรือสูงกว่า
- มีอาการกระสับกระส่าย ปวดศรีษะและหัวใจเต้นเร็ว อาจมีอาการชักเกร็ง
- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ
- ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง
สาเหตุของอาการฮีทสโตรก
- อยู่ในสถานที่อากาศไม่ถ่ายเทและสภาพอากาศร้อนจัด
- ใช้กำลังหรือออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้อุณภูมิภายในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
- ใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปทำให้อุณภูมิในร่างกายไม่ถ่ายเท
- การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการควบคุมอุณภูมิรวมถึงภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อเติมของเหลวที่สูญเสียไปจากการขับเหงื่อ
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ให้ผู้ป่วยอยู่ในร่มหรือในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ
- ถอดเสื้อผ้าบางส่วนออกเพื่อให้อุณภูมิในร่างกายถ่ายเท
- ทำให้ผู้ป่วยมีอุณภูมิเย็นลงโดยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆวางบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ ขณะรอรถพยาบาล และควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นเพราะอาจทำให้เส้นเลือดในกระเพาะอาหารตีบตัน อาจทำให้เป็นตระคริวที่ท้องได้
แนวทางการป้องกัน
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือเสื้อผ้าบางๆ
- สวมหมวกมีปีกเพื่อป้องกันแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มี SPF50++
- ดื่มน้ำหรือจิบน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้ร่างกายกระหายน้ำ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
- งดออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวรที่ร้อน ชื้น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก
การเตรียมการป้องกันและรับมือกับอากาศร้อนจัดในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เราควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพในช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนจัดนะคะ