
อยากเปลี่ยนประกันรถ ก่อนครบกำหนด ทำได้หรือไม่?
หลายคนอาจจะเจอสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า “อยากเปลี่ยนบริษัทประกัน” ไม่ว่าจะเพราะเจอเบี้ยที่ถูกกว่า บริการที่ดีกว่า หรือโปรโมชั่นคุ้มกว่า แต่ติดตรงที่ประกันเดิมยังไม่หมดอายุ คำถามคือ… เราสามารถเปลี่ยนได้ไหม?
คำตอบคือ “ได้” ✅ แต่ต้องเข้าใจเงื่อนไขและรายละเอียดดังนี้
1. ยกเลิกประกันเดิมได้ แต่ได้เบี้ยคืนไม่เต็มจำนวน
หากคุณต้องการเปลี่ยนบริษัทประกันใหม่ สามารถ ทำเรื่องยกเลิกประกันเดิม ได้ โดยบริษัทประกันเดิมจะคืนเงินค่าเบี้ยที่เหลืออยู่บางส่วน
- เงินที่ได้คืนจะไม่ใช่แบบหารตรง เช่น ใช้ไปครึ่งปี อาจได้เงินคืนประมาณ 40% ของเบี้ย ไม่ใช่ 50% ตรงๆ
- อัตราการคืนขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท
2. ซื้อประกันใหม่ได้ทันที
หลังจากทำเรื่องยกเลิกประกันเดิมแล้ว คุณสามารถ ซื้อประกันใหม่ต่อได้เลย ไม่ต้องรอให้ครบอายุสัญญา
- บางบริษัทประกันใหม่มีบริการช่วยดำเนินการยกเลิกกับบริษัทเดิมให้
- ทำให้สะดวกและไม่เสียเวลา
3. คำนวณความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจ
ก่อนจะเปลี่ยนประกัน ควรพิจารณาให้รอบคอบว่า “การเปลี่ยนครั้งนี้คุ้มจริงหรือไม่” โดยดูจาก:
- เงินเบี้ยที่ได้คืน + ค่าเบี้ยใหม่ เมื่อรวมกันแล้วคุ้มกว่าหรือไม่
- เงื่อนไขความคุ้มครอง ของประกันใหม่ดีกว่าหรือไม่ เช่น ความคุ้มครองสูงขึ้น บริการเสริมครบขึ้น หรือเบี้ยถูกกว่า
การเปลี่ยนประกันรถก่อนหมดอายุทำได้ แต่ต้องเข้าใจเรื่องเบี้ยคืนที่ไม่ได้เต็มจำนวน และควรชั่งน้ำหนักว่าประกันใหม่ที่เลือกมีความคุ้มค่าและตอบโจทย์กว่าประกันเดิมหรือไม่

ทำไมถึงต้องทำประกันรถยนต์? ไขข้อข้องใจที่หลายคนมองข้าม
สำหรับคนมีรถการ “ทำประกันรถยนต์” อาจเป็นเรื่องที่บางคนยังลังเล ว่าจำเป็นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะหากเราขับรถระมัดระวัง ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำประกันไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกัน แต่คือการสร้างความอุ่นใจและลดความเสี่ยงทางการเงิน วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจว่า ทำไมถึงควรทำประกันรถยนต์
1. กฎหมายกำหนดให้ต้องมี พ.ร.บ.
รถทุกคันในประเทศไทยต้องทำ ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หากไม่มีถือว่าผิดกฎหมายและไม่สามารถต่อทะเบียนได้ ส่วนประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ เช่น ชั้น 1, 2+, 3+ แม้ไม่บังคับ แต่ช่วยเพิ่มความคุ้มครองที่กว้างขึ้นและครอบคลุมมากกว่า
2. ลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ แม้เราจะขับดีแค่ไหน หากเกิดการชนขึ้น ค่าเสียหายอาจสูงถึงหลักหมื่นหรือหลักแสน การมีประกันช่วยให้บริษัทประกันเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้แทนเรา ทำให้ไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่เอง
3. คุ้มครองชีวิตและร่างกาย
ไม่ใช่แค่รถที่ได้รับความเสียหาย ประกันรถยนต์ยังครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณี ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ก็มีวงเงินชดเชยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัว
4. เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
บนท้องถนนเต็มไปด้วยปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น คนตัดหน้า รถจักรยานยนต์แทรก หรือถนนลื่นในช่วงฝนตก การมีประกันรถยนต์ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจมากขึ้น ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็มีบริษัทประกันคอยช่วยเหลือ
5. คุ้มครองทรัพย์สินของผู้อื่น
หากอุบัติเหตุทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย เช่น เสาไฟฟ้า รั้วบ้าน หรืออาคาร การเคลมจากประกันจะช่วยจัดการค่าเสียหายเหล่านี้ให้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบด้วยเงินส่วนตัวทั้งหมด
สรุป
การทำประกันรถยนต์ไม่ใช่ภาระ แต่คือการ บริหารความเสี่ยง และสร้างความอุ่นใจให้เจ้าของรถและครอบครัว เพราะอุบัติเหตุไม่มีใครคาดเดาได้ การมีประกันจึงช่วยป้องกันความเสียหายทั้งด้านชีวิต ทรัพย์สิน และการเงินของเราได้อย่างรอบด้าน

ประกันรถยนต์แต่ละชั้นเลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง
ประกันรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องมี ซึ่งแน่นอนว่ามีประกันรถยนต์หลายชั้นให้เราได้เลือกซื้อ แต่ว่าประกันรถแต่ละชั้นให้ความคุ้มครองที่ต่างกันออกไปแล้วประกันแบบไหนที่เหมาะกับเรา? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันชั้น 1 ราคาเบี้ยประกันจะสูงที่สุด แต่ก็ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุครอบคลุมมากที่สุดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่เกิดจากอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม รถหาย ไฟไหม้รถ น้ำท่วมรถ ชนฟุตบาท และยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ให้การชดเชยในกรณีเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะ และยังช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนของคู่กรณีอีกด้วย
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ขับรถป้ายแดงเพราะประกันภัยชั้น 1 มีความคุ้มครองสูงสุดและคุ้มครองรถที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี
- มือใหม่หัดขับ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- รถยนต์ทั่วไปที่ต้องการความคุ้มครองรถยนต์แบบคลอบคลุมที่สุด
- ผู้ที่ใช้รถบ่อยหรือต้องขับรถทางไกลบ่อย
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันชั้น 2+ ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจเพราะให้ความคุ้มครองแทบจะไม่ต่างกับประกันชั้น 1 แต่จ่ายเบี้ยถูกกว่า จะแตกต่างกันตรงที่ประกันชั้น 2+ จะคุ้มครองแบบที่มีคู่กรณีเท่านั้น คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยให้กับคนในรถรวมไปถึงคู่กรณี ครอบคลุมไปถึงความคุ้มครองความเสียหายจากไฟไหม้หรือรถยนต์สูญหายแต่ไม่คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีหรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติและน้ำท่วมได้
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มั่นใจในการขับขี่
- ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันแต่อยากได้รับความคุ้มครองเทียบเท่าประกันชั้น 1
- ผู้ที่ไม่กังวลหากขับรถชนข้างทาง เสาไฟ หรือสิ่งกวาดขวางต่างๆ (เพราะประกันชั้น 2+ ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในส่วนนี้)
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยจะช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่อทรัพย์สินของคู่กรณีหากเกิดเหตุรถชน ทางคู่กรณีจะได้รับการซ่อมจากประกันที่เราทำอยู่ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเรา เราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นเอง แต่ประกันชั้น 2 นั้น ยังให้ความคุ้มครองหากเกิดไฟไหม้ สูญหาย ถูกโจรกรรม รวมถึงคุ้มครองบุคคลภายในรถยนต์กรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงทรัพย์สินและการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของบุคคลภายนอกเมื่อผู้ขับเป็นฝ่ายผิด อีกทั้งยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและการประกันตัวของผู้ขับขี่
ประกันรถยนต์ชั้น 2 เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย นานๆนำออกมาใช้ที
- มีความชำนาญในการขับขี่ ไม่ค่อยขับรถชน
- รถที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี
- ผู้ที่จอดรถในพื้นที่เสี่ยง
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
จะให้ความคุ้มครองน้อยที่สุดเพราะจะซ่อมเฉพาะรถของคู่กรณีในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายต่อรถยนต์เราและไม่คุ้มครองในกรณีที่รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรืออุบัติภัยทางธรรมชาติ
ประกันรถยนต์ชั้น 3 เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ใช้รถน้อย ไม่ได้ใช้งานรถบ่อย
- ผู้ที่ขับรถชำนาญมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดอุบัติเหตุ
- รถที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี
- ผู้ที่จอดรถในพื้นที่ปลอดภัย
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 4 ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันชั้น 4 เหมาะกับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน โดยประกันชั้น 4 จะให้ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินเท่านั้น จะไม่คุ้มครองการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต่อบุคคลภายนอกหากมีความเสียหายจากการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่เกินจำนวนวงเงินประกันภัย ผู้ขับต้องจ่ายเงินส่วนต่างด้วยตัวเอง
เป็นอย่างไรบ้างคะ เหมาะกับประกันแบบไหนกันบ้าง หากลูกค้าท่านไหนสนใจที่จะทำประกันรถยนต์ทางไพศาลแคปปิตอลเรามีบริการทำประภัยรถยนต์ให้ด้วยนะคะสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 096-082-5329 (ติดต่อประกัน) หรือลูกค้าอยากปรึกษาเกี่ยวกับการทำประกันภัยก็สามารถโทรปรึกษาได้ค่ะ ผ่อนได้สูงสุด 10 เดือน

5 วิธี ดูรถบรรทุกมือสองแบบมือโปร
ในปัจจุบันการซื้อรถบรรทุกมือสองได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีให้เลือกหลากหลายรุ่นตามความต้องการและค่าใช้จ่ายในการออกรถที่ถูกกว่าถ้าเทียบกับมือหนึ่ง แต่ว่าการซื้อรถมือสองย่อมมีความเสี่ยงว่ารถนั้นมีปัญหาอะไรไหม แล้วจะเริ่มดูจากตรงไหนล่ะ? วันนี้ไพศาลแคปปิตอล มีวิธีดูรถบรรทุกมือสองแบบมือโปรมาให้ทุกท่านได้อ่านไปพร้อมๆกันค่ะ
1.เช็กสภาพรถบรรทุก
อาจะเช็กคร่าวๆด้วยตนเองก่อน เช่น เช็กไฟว่าติดครบทุกดวงไหม เช็กไฟหน้าและไฟท้ายรถว่าแตกหรืออยู่ครบไหม ไขกุญแจเพื่อดูหน้าปัดว่ามีโชว์ครบทุกอันไหม เช็กสีรถรอบๆคันว่าสีรถสม่ำเสมอหรือไม่ หากพบความแตกต่างของเฉดสีในบางจุด อาจเป็นสัญญาญว่ารถเคยได้รับการซ่อมแซมจากอุบัติเหตุหรือการทำสีใหม่บางส่วนมาก่อน
2.เช็กเลขเครื่อง
ตรวจสอบเลขเครื่องว่าตรงกับในเล่มทะเบียนรถไหม และตรวจดูว่ามีการเปลี่ยนเครื่องยนต์มาไหมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโดนสวมทะเบียน
3.เช็กเครื่องยนต์ ของเหลว แบตเตอรี่
ลองสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อฟังว่าเสียงเครื่องยนต์นั้นปกติหรือเสียงเครื่องยนต์ขาดตอนหรือไม่ หากมีควันสีขาวออกมามาก นั่นแสดงว่าเครื่องยนต์หลวม แต่ถ้าเป็นควันดำแสดงว่าเกิดจากการเผาไหม้ไม่หมด และตรวจสอบดูว่าระดับน้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น และแบตเตอรี่อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่มีคราบน้ำมันรั่วไหลหรือมีสนิมที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาทที่ซ่อนอยู่
4.เช็กระบบเกียร์
ทดลองเข้าเกียร์ทุกตำแหน่งว่าเกียร์เป็นไปอย่างรายรื่นหรือไม่ หากเกียมีความสะดุดหรือมีเสียงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่าระบบเกียร์มีปัญหา หรือลองเหยียบคลัทซ์ดูว่าตื้นหรือลึก หากลึกมากคลัทซ์อาจใกล้จะหมดแล้ว หากลองเช็กทุกเกียร์แล้วพบว่ามีอาการแปลกๆให้พึงระวังไว้
5.เช็กเลขไมล์
เลขไมล์เป็นตัวบ่งชี้ถึงการใช้งานรถ หากเลขไมล์ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับสภาพและปีของรถ อาจเป็นไปได้ว่าเลขไมล์ถูกปรับเปลี่ยนมา ดังนั้นจึงควรตรวจเช็กว่าเลขไมล์ที่แสดงบนหน้าปัดตรงกับเอกสารประวัติการซ่อมบำรุงหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อรถที่มีประวัติการใช้งานหนักแต่มาแสดงเลขไมล์ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
และทั้งหมดนี้คือวิธีการดูรถบรรทุกมือสองที่ทางไพศาลแคปปิตอลนำมาสรุปคร่าวๆให้ลูกค้าทุกท่านได้อ่าน และหากลูกค้าท่านไหนสนใจที่จะจัดไฟแนนซ์ ย้ายไฟแนนซ์ หรือรีไฟแนนซ์ สามารถติดต่อมาได้ที่ไพศาลแคปปิตอล หรือโทร 092-921-7999 ได้เลยนะคะ ทางเรารับจัดไฟแนนซ์แบบครบวงจร รู้ผลเร็ว อนุมัติไว ให้ยอดเยอะ ต้องที่ไพศาลแคปปิตอลเท่านั้นนะคะ

ประกันสังคม Vs บัตรทอง สิทธิที่คนไทยควรรู้
หลายๆคนอาจะสงสัยว่าระหว่างประกันสังคมและสิทธิบัตรทอง มีข้อแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
ประกันสังคม Vs บัตรทอง
ผู้ได้สิทธิ
ประกันสังคม : กลุ่มวัยทำงานที่มีรายได้ แบ่งเป็น ม.33,ม.39,ม.40
บัตรทอง : สิทธิของคนไทยทุกคนที่ไม่มีสิทธิประกันสุขภาพอื่นๆ
ค่ารักษาพยาบาล
ประกันสังคม : ใช้สิทธิโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามสถานพยาบาลที่เลือกไว้
(ต้องจ่ายเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 3 เดือน)
บัตรทอง : ไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและไม่มีวงเงิน
สิทธิด้านทันตกรรม
ประกันสังคม : วงเงิน 900 บาท ต่อปี
บัตรทอง : เข้าบริการทางทันตกรรมได้ ปีละ 3 ครั้ง
การย้ายสิทธิสถานพยาบาล
ประกันสังคม : ย้ายได้ปีละ 1 ครั้ง
บัตรทอง : ย้ายได้ 4 ครั้งต่อปี
สิทธิรักษามะเร็ง
ประกันสังคม : เฉพาะโรงพยาบาลคู่สัญญาประกันสังคมเท่านั้น
บัตรทอง : มะเร็งรักษาทุกที่ Cancer Anywhere
การคลอดบุตร
ประกันสังคม : มีวงเงิน 15,000 บาทต่อครั้ง
บัตรทอง : ไม่จำกัดค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร
เงินชดเชยอื่นๆ
ประกันสังคม : ได้รับเงินชดเชย กรณีว่างงาน เกษียณ เสียชีวิต
บัตรทอง : ได้เพียงสิทธิรักษาฟรี ไม่มีเงินชดเชยอื่นๆ

4 สาเหตุหลักที่ทำให้ยื่นไฟแนนซ์ไม่ผ่าน
หากลูกค้าต้องการที่จะขอรี+จัดไฟแนนซ์ ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุอะไรบ้างที่จะทำให้เรายื่นไฟแนนซ์ไม่ผ่าน วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
1.ประวัติทางการเงินไม่ดี
การที่ผู้ขอสินเชื่อมีประวัติค้างชำระหนี้เกินกว่า 90 วัน หรือ 3 งวดติดต่อกัน หรือเรียกง่ายๆว่า “ติดเครดิตบูโร” เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ไฟแนนซ์ไม่อนุมัติสินเชื่อ เนื่องจากเกรงว่าอาจมีการผิดนัดชำระอีกได้
2.คุณสมบัติไม่ผ่านเงื่อนไขที่กำหนด
คุณสมบัติบางอย่างของผู้ขอสินเชื่อไม่ตรงกับเงื่อนไขของไฟแนนซ์ เช่น อายุไม่ถึงหรือเกินเกณฑ์ที่กำหนด หรือรายรับรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละไฟแนนซ์
3.ไม่มีเงินเดินบัญชี
การมีเงินเดินบัญชีมีความสำคัญต่อการขอสินเชื่อเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถาบันการเงินจะขอตรวจสอบเอกสารที่แสดงถึงรายรับในแต่ละเดือน หากภายในบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวหรือไม่มีเงินเก็บในบัญชีเลย จะทำให้โอกาสที่จะได้รับการอนุมัติลดลง จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่เป็นพนักงานประจำที่มีเงินเดือนมั่นคง มีโอกาสได้รับอนุมัติสูงกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขาย,อาชีพอิสระ ฯลฯ นั่นเอง
4.ภาระหนี้สินมากเกินไป
หากตัวผู้ขอสินเชื่อมีหนี้สินมากเกินไป โอกาสที่จะรีไฟแนนซ์ไม่ผ่านมีค่อนข้างสูงทางไฟแนนซ์จะมองว่าคุณอาจจะไม่มีศักยภาพมากพอในการผ่อนชำระ เพราะฉะนั้นหากต้องการที่จะขอรีไฟแนนซ์ ผู้ขออาจจะต้องพยายามปิดหนี้บางส่วนให้หมดเสียก่อนหรือหาผู้ร่วมที่มีเครดิตทางการเงินน่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินว่าผู้ขอสินเชื่อมีความสามารถในการผ่อนชำระได้แน่นอน

เมาแล้วขับเคลมประกันได้ไหม?
หลายคนสงสัยว่าหากเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันจะจ่ายไหม? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท รวมถึงถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไปจนถึงการเพิกถอนใบขับขี่ แต่ถ้าคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส โทษจะเป็นจำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท และระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 2 ปี ส่วนการเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000 – 200,000 บาท และผู้ขับขี่จะถูกเพิกถอนใบขับขี่ทันที ในส่วนของการเคลมประกันกรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุแต่ละประกันจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปทั้งประกันภาคสมัครใจและประกันภาคบังคับ
สำหรับประกันภาคบังคับหรือพ.ร.บ.
จะคุ้มครองผู้เอาประกันและคู่กรณีโดยไม่พิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด จะคุ้มครองในส่วนของค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลแต่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถจะไม่คุ้มครอง
สำหรับประกันภาคสมัครใจ
แอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับนั้นต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้นถึงจะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี แต่ถ้าหากแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น ประกันภัยรถยนต์จะไม่คุ้มครองไม่ว่ากรณีใดๆแม้ว่าจะทำประกันชั้น 1 ก็ตาม โดยประกันจะจ่ายค่าความเสียหายให้เฉพาะรถยนต์คู่กรณีเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ทำประกันจะต้องจ่ายเงินส่วนนี้คืนในภายหลังทั้งหมด
พฤติกรรมเมาแล้วขับนอกจากจะได้รับโทษตามกฎหมายแล้วแล้วนั้นอาจเป็นเหตุที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายได้ สรุปเลยก็คือหากเมาแล้วขับ สามารถเคลมประกันได้จากพ.ร.บ.แค่ค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้รักษาได้ทันท่วงทีเท่านั้น ส่วนค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ต้องจ่ายเอง ยิ่งถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น แม้แต่ประกันชั้น 1

เคลมสด เคลมแห้ง ต่างกันอย่างไร?
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า เคลมสด-เคลมแห้ง ว่าแต่ความหมายของสองคำนี้คืออะไรล่ะ? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
ในการเคลมประกันรถยนต์จะมีศัพท์เฉพาะของการเคลมเพื่อเอาประกันภัยนั่นก็คือ เคลมสดกับเคลมแห้ง
การเคลมสด
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นทันทีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกันโดยที่มีคู่กรณีอยู่ด้วย โดยจะติดต่อให้เจ้าหน้าที่ประกันเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบและออกเอกสารสำหรับทำเรื่องเคลม แต่ถ้าหากอุบัติเหตุนั้นมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ อาจต้องเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก โดยใช้หลักฐานเป็นใบขับขี่และหน้ากรมธรรม์ประกันภัยที่เราทำไว้
วิธีการเคลลมสด
- สำรวจความเสียหาย ถ่ายรูปที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นให้นำรถออกเส้นทางจราจร
- ติดต่อบริษัทประกันภัย แจ้งหมายเลขกรมธรรม์ ชื่อ ทะเบียน ยี่ห้อรถ ลักษณะอุบัติเหตุ รายละเอียดและสถานที่เกิดเหตุ
- รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายและออกใบแจ้งเคลม
การเคลมแห้ง
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นหลังจากที่อุบัติเหตุนั้นผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายเล็กๆน้อยๆและไม่มีคู่กรณี เช่น อุบัติเหตุจากการขับชนกำแพง เสาไฟ ขอบถนน ราวสะพาน ฯลฯ จนทำให้รถยนต์เกิดร่องรอยความเสียหาย โดยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขับขี่โดยตรง รวมถึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
**การเคลมแห้งแบบมีคู่กรณีที่ไม่ใช่รถยนต์นั้นจะมีในประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น
วิธีการเคลมแห้ง
- ถ่ายรูปเก็บหลักฐาน จดรายละเอียดอุบัติเหตุ ทั้งวันที่ สถานที่ และลักษณะอุบัติเหตุ
- ติดต่อบริษัทประกันเพื่อแจ้งความเสียหาย
- บริษัทประกันจะตรวจสอบเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น รายการซ่อมแซม หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
- ประเมินค่าใช้จ่าย บริษัทประกันจะทำการประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาการชดเชย