
5ข้อดีของการทำประกันรถยนต์
1.ช่วยแบ่งเบาค่าซ่อมรถของเราและคู่กรณี
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากเรามีประกันภัยรถยนต์อย่างน้อยเราอุ่นใจได้ว่าไม่ต้องสำรองเงินจ่ายอย่างแน่นอนเพราะประกันรถยนต์จะช่วยจ่ายค่าซ่อมรถทั้งของเราและคู่กรณี
2.ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล
หากเกิดอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวเราหรือคู่กรณีก็ตาม ประกันจะมีค่ารักษาพยาบาลให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา
3.ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเราสามารถโทรหาประกันเพื่อขอความช่วยเหลือจากประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้หากเกิดอุบัติเหตุยามวิกาลหรือเกิดเหตุในต่างจังหวัด บางกรมธรรม์จะช่วยดูแลจัดสรรที่พักให้กับเราอีกด้วย
4.คุ้มครองเมื่อรถหาย เกิดเหตุไฟไหม้และน้ำท่วม
ประกันชั้น 1,2,2+ จะให้ความคุ้มครองในกรณีที่รถหายหรือเกิดอุบัติเหตุน้ำท่วม เราจะได้รับเงินชดเชยตามความคุ้มครองของแต่ละกรมธรรม์แต่จะไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สิน
5.มีรถให้ใช้ระหว่างรอซ่อม
ถ้าเราทำประกันภัยรถยนต์แล้ว เมื่อรถพังและส่งซ่อมระหว่างที่รอรถซ่อมเสร็จนั้นจะมีรถสำรองให้เราใช้ไปพลางๆก่อน หากไม่สะดวกก็ขอรับเป็นค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันชดเชยได้

รวมรายการลดหย่อนภาษี 2567
การเสียภาษีเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ประจำทุกคนต้องจ่ายในทุกๆปีตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อไม่ให้ตัวเราต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เราจึงควรศึกษาและวางแผนเรื่องภาษีให้ดี มาดูกันกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้
1.ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ปีละ 60,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ทันทีทั้งการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ซึ่งหากยื่นภาษีออนไลน์จะมีรายการลดหย่อนส่วนตัวให้อัติโนมัติ
2.ค่าลดหย่อนคู่สมรสใช้สิทธิลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ในกรณีที่ใช้สิทธิลดหย่อนคู่สมรสต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น (หากสมรสไม่ครบปีหรือคู่สมรสเสียชีวิตก็มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีได้) โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้หรือรายได้ในปีนั้นๆ ในกรณีที่สามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ กฎหมายอนุญาตให้ ยื่นภาษีรวมกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้
3.ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย คนละ 30,000 บาท
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายคนละ 30,000 บาท และหากมีบุตรคนที่2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 60,000 บาท สำหรับผู้ที่มีบุตรคุณธรรมหรือมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้สูงสุด 3 คน และจะต้องเป็นบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งกรณีนี้บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี ส่วนบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 21-25 ปี จะต้องอยู่ในระดับปวส. ขึ้นไป และบุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ยกเว้นกรณีที่ได้รับเงินปันผล
4.ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท
โดยบุตรที่เลี้ยงดูพ่อแม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือก็คือพ่อแม่ที่แท้จริง และพ่อแม่ต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ส่วนกรณีที่มีพี่น้องที่มีเงินได้แล้วต้องการใช้สิทธิลดหย่อน ต้องมีการตกลงกันอย่างชัดเจนก่อนว่าใครจะใช้สิทธิตรงนี้ เพราะว่าตามกฎหมายให้ใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำกันได้ ส่วนใครที่ใช้สิทธิลดหย่อนบิดามารดา จะต้องทำหนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อน หรือ ลย.03 ประกอบกัน
5.ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ ใช้สิทธิได้คนละ 60,000 บาท
หากเป็นผู้อุปการะหรือว่าดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท แต่เงื่อนไขคือจะต้องมีหลักฐานในการยื่นประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น บัตรประจำตัวผู้พิการ หรือใบรับรองแพทย์และใบ ลย.04
6.ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ในกรณีที่มีการฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งกรณีที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายแล้วให้เป็นของภรรยา แต่ถ้ากรณีที่ภรรยาไม่มีรายได้ สามีจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตรงนี้แทนได้ ซึ่งจะต้องยื่นควบคู่กับใบเสร็จและใบรับรองแพทย์
7.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน
- ประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
- ประกันชีวิตทั่วไป + สะสมทรัพย์ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสังคม 9,000 บาท
- ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
- กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ 30% แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ 30% ไม่เกิน 200,000 บาท และหากรวมกับกองทุนอื่นๆต้องไม่เกิน 500,000 บาท
8.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
8.1 โครงการช้อปดีมีคืน
สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่เงื่อนไขคือต้องไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งสิทธิลดหย่อนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มสินค้าหรือบริการ 30,000 บาทแรก สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเป็นหลักฐานและค่าสินค้าหรือบริการ 10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
หมายเหตุ : ผู้ที่ถือสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากโครงการช้อปดีมีคืนได้
8.2ลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยบ้าน
หากใครที่ซื้อบ้านหรือคอนโด สามารถนำดอกเบี้ยที่ได้จากการซื้อที่อยู่อาศัย มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องยื่นร่วมกับเอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ออกให้ส่วนกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเฉลี่ยตามจำนวนผู้ร่วมกู้
9.การบริจาคเพื่อลดหย่อยภาษี
เงินบริจาคลดหย่อนภาษี ประกอบไปด้วย
- บริจาคพรรคการเมือง 10,000 บาท
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา สนับสนุนกีฬา พัฒนาสังคมต่างๆ มูลนิธิด้านสาธารณะสุข และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่า ของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคอื่นๆ มูลนิธิและองค์กรณ์สาธารณกุศล ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

เติมน้ำมันผิด แก้ไขอย่างไร?
ปัญหาการเติมน้ำมันผิดมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับหลายคน อาจด้วยความเคยชินจากรถคันเดิมหรือมีรถยนต์หลายคัน ทำให้เกิดความสับสนจนบอกชื่อน้ำมันที่จะเติมผิด วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาบอกวิธีป้องกันและแนวทางการแก้ไขให้ทุกท่านได้อ่านไว้ เผื่อในกรณีที่เกิดปัญหานี้ขึ้นมาจริงๆจะได้แก้ไขอย่างถูกต้อง
เติมน้ำมันผิดจะเกิดอะไรขึ้น?
ผลที่ตามมาคือหัวเทียน ไส้กรอง และระบบเครื่องยนต์เสียหาย หากสตาร์ทรถเครื่องยนต์อาจสะดุดและเครื่องดับไปในที่สุดหรืออาจสตาร์ทไม่ติดเลยเนื่องจากการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินและดีเซลนั้นไม่เท่ากัน เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภทจึงทำให้การเผาไหม้เครื่องยนต์สะดุดและไม่สามารถทำงานต่อได้
วิธีแก้ไขเมื่อรู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแต่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องและยังอยู่ที่ปั้ม
ถ้ายังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ถ่ายน้ำมันที่อยู่ในถังออกให้หมดและไล่ระบบใหม่ เมื่อถ่ายน้ำมันออกหมดแล้วให้เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่ สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ซักพักและสังเกตดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทดสอบอีกครั้งด้วยการเร่งเครื่องพร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะขับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
วิธีแก้ไขเมื่อไม่รู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแล้วรถดับกลางทางขณะวิ่งอยู่บนถนน
ก่อนอื่นเลยถ่ายน้ำมันในถังออกให้หมด ไล่ระบบน้ำมันใหม่ เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่และไล่ระบบน้ำมันอีกครั้ง สำหรับรถที่ใช้เบนซินให้ถอดหัวเทียนออกมาทำความสะอาดใหม่ ส่วนรถที่ใช้ดีเซลให้ถอดเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ หลังจากนั้นพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด ขณะสตาร์ทจะมีอาการติดยากหรืออาจติดแล้วดับ ให้สตาร์ทต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะติด จากนั้นปล่อยให้รถเดินเครื่องเองซักพัก เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบร้อยให้ลองเร่งเครื่อง พร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะชับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
ปัญหาเรื่องการเติมน้ำมันผิดประเภทสามารถเกิดขึ้นได้จากตัวเราและพนักงานปั้ม ดังนั้นก่อนเติมน้ำมันทุกครั้งต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าจะเติมน้ำมันประเภทไหน เพื่อป้องการเติมน้ำมันผิดประเภท

เช็คระยะรถตามกำหนดดีอย่างไร?
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการเช็คระยะมีความจำเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องเช็ค?
เช็คระยะรถยนต์คืออะไร
การเช็คระยะรถยนต์คือการตรวจสอบสภาพรถยนต์ เพื่อช่วยบำรุงรักษา ชะลอความเสื่อมเครื่องยนต์หรือองค์ประกอบภายในเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากถามว่าการเช็คระยะรถจำเป็นไหม ก็ต้องบอกเลยว่าจำเป็นเพราะการไม่ตรวจเช็คระยะรถอาจส่งผลเสียต่อรถยนต์ เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า รถยนต์ผิดปกติตรงไหนบ้าง ดังนั้นควรส่งรถเข้าศูนย์เพื่อเช็คระยะรถยนต์ทุกครั้งเมื่อครบกำหนด
สำหรับช่วงเวลาที่ต้องนำรถเข้าไปเช็คระยะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.นับจากระยะเวลา (เริ่มตั้งแต่วันออกรถ)
2.ดูจากระยะทาง (เลขไมล์ที่ใช้งานไป)
ตรวจเช็คในระยะ 1-6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- ยางรถยนต์และการตั้งศูนย์ล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- จานเบรกและผ้าเบรกหน้า ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะ 6-12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบคลัช พร้อมตรวจดการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันคลัช ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- การสลับยาง การถ่วงล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ที่ปัดน้ำฝนและที่ฉีดน้ำยาล้างกระจก ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบจานเบรคและผ้าเบรคหลัง พร้อมตรวจดูการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันเบรก จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบช่วงล่าง ควรอุดจาระบี ในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- โช๊คอัพ หน้า-หลัง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ล้างเครื่อง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเกียร์ ระบบธรรมดา จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- สายพานขับและสายพานเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบบังคับเลี้ยว สายพานพวงมาลัยพาวเวอร์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบคันชักคันส่ง ลูกหมาก ยางกันฝุ่น จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเบรก น้ำมันคลัช น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันเกียร์ออโต้ น้ำมันหล่อเย็นเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
ข้อดีของการเช็คระยะรถยนต์
การนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนดที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยยืดอายุการทำงานของรถยนต์ เนื่องจากการใช้งานรถทุกวันทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ ดังนั้นการตรวจเช็คจะทำให้เรารู้ว่าช่วงไหนของรถที่เริ่มเสื่อมและทำการเปลี่ยนอะไหล่หรือการซ่อมบำรุง

สิ่งที่ไม่ควรทำขณะเติมน้ำมันที่หลายคนมองข้าม
วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาย้ำเตือนว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ควรทำขณะเติมน้ำมันรถพร้อมสาเหตุที่ไม่ควรทำ
1.สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ใกล้กับบริเวณพื้นที่จ่ายน้ำมัน ไฟจากบุหรี่อาจทำปฏิกิริยากับไอน้ำมันที่มองไม่เห็นอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
2.ไม่ดับเครื่องยนต์
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนในประเทศไทยทำให้แรงดันในถังที่พ่นไอระเหยจากน้ำมันอาจก่อให้เกิดไฟลุกไหม้ได้
3.ใช้โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์และสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้ทำให้เกิดไฟไหม้แต่สัญญาณของมันเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสถิตมากขึ้นจนกลายเป็นเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอันตราย ซึ่งไฟฟ้าสถิตนั้นจริงๆแล้วมีอยู่รอบตัวเราและถูกเหนี่ยวนำผ่านอากาศ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นตัวเพิ่มโอกาสเหนี่ยวนำที่จะทำให้ตัวคุณมีไฟฟ้าสถิตเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง หากอยู่ในช่วงที่อากาศแห้งก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดไฟฟ้าสถิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน
4.เติมน้ำมันในถังพลาสติก
ถังพลาสติกอาจเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ที่มองไม่เห็น ซึ่งจะก่อให้เกิดเพลิงลุกไหม้ได้
หากเจ้าของรถรวมถึงผู้ที่เข้ามาใช้บริการในปั้มน้ำมันทุกคนไม่ประมาทและช่วยกันปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ได้ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอย่างแน่นอน

ซื้อประกันแบบไหนได้ลดหย่อนภาษีเท่าไหร่?
ประกันชีวิตแบบทั่วไป
ประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป และถ้ามีเงินคืนระหว่างสัญญาเงินคืนต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม สามารถนำเบี้ยไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งประกันชีวิตทั่วไป มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ แบบตลอดชีพ แบบชั่วระยะเวลา แบบสะสมทรัพย์ และแบบควบการลงทุน
ประกันสุขภาพ
เราสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท และรวมกับประกันชีวิตทั่วไปแล้วไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสุขภาพคือประกันที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง หรือ ประกันภัยการดูแลระยะยาว
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
ใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงต้องไม่เกิน 15% ของรายได้ไม่เกิน 200,000 บาท และอาจลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ถ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไป เช่น ถ้าเรามีรายได้ 1,000,000 บาท ซื้อประกันบำนาญไป 200,000 บาท และประกันชีวิตทั่วไป 100,000 บาท เราจะสามารถนำมาลดหย่อนในส่วนประกันบำนาญได้แค่ 150,000 บาท เท่านั้น เพราะคิดเป็น 15% ของรายได้
การกรอกเวลายื่นภาษี
1.กรอกเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
2.กรอกเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ตามที่จ่ายจริงและเมื่อรวมกับประกันสุขภาพแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
3.กรอกเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หากเราใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปไม่เต็มสิทธิให้กรอกประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 บาท ก่อนแล้วค่อยกรอกประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 บาท ก่อนค่อยมากรอกประกันชีวิตแบบบำนาญ
เช่น ถ้าเรามีประกันสุขภาพ 10,000 บาท ประกันชีวิตทั่วไป 50,000 บาท ประกันบำนาญ 100,000 บาท
เวลากรอกยื่นภาษี คือ
- กรอกประกันสุขภาพ 10,000 บาท
- กรอกช่องประกันชีวิตทั่วไป 90,000 บาท (รวมกับประกันสุขภาพจะเป็น 100,000 บาท )
- .ใส่ช่องประกันบำนาญ 60,000 บาท (เพราะใส่ช่องประกันทั่วไปแล้ว 40,000 บาท )
**ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ผู้กู้ร่วมกับคนค้ำประกันต่างกันอย่างไร?
ผู้กู้ร่วม
คือการทำสัญญายื่นกู้สินเชื่อก้อนเดียวกัน ภายใต้สัญญากู้เดียวกันและมีหน้าที่รับผิดชอบหรือรับภาระหนี้ร่วมกัน โดยผู้กู้ร่วมจะมีหนี้สินคนละครึ่ง หากผู้กู้คนใดคนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผู้กู้ร่วมคนอื่นๆต้องรับผิดชอบหนี้ที่ค้างอยู่แทน ซึ่งบุคคลที่จะเป็นผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือพี่น้องทางสายเลือดเท่านั้น โดยธนาคารหรือสถาบันทางการเงินจะนำข้อมูลของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมมาพิจารณาในการขออนุมัติสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ต่อเดือน ภาระหนี้สิน ความสามารถในการชำระหนี้ ประวัติทางการเงิน เป็นต้น
ผู้ค้ำประกัน
คือการหาบุคคลมาค้ำประกันเพื่อเข้ามามีสัญญาทางกฎหมายกับเจ้าหนี้ โดยในการทำสัญญาค้ำประกันจะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ ในกรณที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินสามารถไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกันเพื่อให้ชำระหนี้แทนได้ ตามกฏหมายกำหนดให้เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกผิดนัด
ข้อแตกต่างระหว่างผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกัน
ผู้กู้ร่วม
- การทำสัญญายื่นกู้ก้อนเดียวกันภายใต้สัญญาเดียวกัน
- มีความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือเครือญาติ
- ธนาคารดูรายได้ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมในการอนุมัติสินเชื่อ
- มีหน้าในการผ่อนเช่นเดียวกับผู้กู้หลัก
- สามารถนำดอกเบี้ยไปลดหย่อยภาษีได้
ผู้ค้ำประกัน
- การหาบุคคลมาค้ำประกันเพื่อเข้ามามีสัญญาทางกฎหมายกับเจ้าหนี้
- ผู้ค้ำประกันเป็นใครก็ได้
- ธนาคารจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ค้ำประกันในการอนุมัติ
- ไม่มีหน้าที่ในการผ่อนแต่ต้องรับผิดชอบหากผู้กู้หลักผิดสัญญากับธนาคาร
- นำดอกเบี้ยไปลดหย่อนภาษีไม่ได้

แอร์รถเหม็นอับ เกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไร?
สาเหตุที่ทำให้แอร์รถยนต์มีกลิ่นอับ
- มีน้ำหรือความชื้นสะสมอยู่ในคอยล์เย็น จนเกิดเชื้อรา
- ช่องแอร์เกิดการหมักหมมCA
- ที่กรองแอร์มีสิ่งสกปรกเข้ามาอุดตัน
วิธีแก้ไขอาการแอร์รถยนต์มีกลิ่น
1.เปิดพัดลมไล่ความชื้น
ให้เราปิดปุ่มแอร์ (A/C) จากนั้นเปิดพัดลมให้แรงที่สุด เพื่อไล่ความชื้นออกจากออกจากคอยล์เย็นและลดกลิ่นอับ ใช้เวลาเป่าลมประมาณ 5 นาที จะช่วยลดกลิ่นอับได้ดีขึ้น
2.เปิดแอร์ในระดับที่พอดี
ควรเปิดแอร์ในระดับที่เย็นพอดี ถ้าเปิดแอร์เย็นจนเกินไปอาจทำให้เกิดความชื้นสะสมภายในวงจรปรับอากาศได้และไม่ควรปิดหน้ากากแอร์เพราะจะทำให้ภายในวงจรปรับอากาศมีอุณภูมิต่ำและทำให้เกิดความชื้นได้
3.ใช้แสงแดดไล่ความชื้น
เป็นวิธีที่หลายๆคนเลือกใช้กัน โดยเปิดประตูรถยนต์ทุกบาน เพื่อให้แสงแดดไล่ความชื้นรวมถึงกลิ่นอับออก
4.ถอดกรองแอร์มาล้าง
หากไม่ได้ถอดกรองแอร์มาล้างนานๆ พวกเศษสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่มากอาจเป็นผลทำให้ส่งกลิ่นอับทำให้ภายในรถมีกลิ่นเหม็น ดังนั้นควรถอดกรองแอร์ออกมาล้างแล้วใส่กลับเข้าที่เดิม ถือว่าเป็นการทำความสะอาดแอร์ไปในตัว
5.น้ำส้มสายชูช่วยลดกลิ่นอับได้
ถ้าหากภายในรถยังมีกลิ่นอับอยู่ ให้นำน้ำส้มสายชูเทใส่แก้วแล้วนำไปวางไว้ในรถประมาณ 1-2 ชั่วโมง กลิ่นของน้ำส้สายชูจะช่วยดับกลิ่นภายในรถได้
6.ใช้สเปรย์ดับกลิ่นอับภายในรถยนต์
ปัจจุบันจะมีสเปรย์ปรับอากาศและดับกลิ่นแบบ 2 in 1 ให้ฉีดสเปรย์ไปในจุดที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เพื่อขจัดกลิ่นอับ
7.ล้างแอร์
หากทำทุกวิธีแล้วแต่กลิ่นอับในแอร์รถยนต์ไม่หายไป เป็นสัญญาณให้เราต้องล้างแอร์รถยนต์โดยนำรถเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างล้างแอร์ให้สะอาดเพื่อขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์