ข่าวสารและกิจกรรม
ข่าวสารและกิจกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์ และประกันภัย ข่าวสารและกิจกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์ และประกันภัย ข่าวสารและกิจกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์ และประกันภัย
ต่อภาษีรถออนไลน์ง่ายนิดเดียว
โดยปัจจุบันสามารถต่อภาษีรถออนไลน์ได้แล้วนะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง มาดูกันเลย
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีออนไลน์ได้
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1) อายุไม่เกิน 7 ปี
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2) อายุไม่เกิน 7 ปี
- รถบรรทุกส่วนบุคคล (รย.3) อายุไม่เกิน 7 ปี
- รถจักยานยนต์ (รย.12) ไม่เกิน 5 ปี
- รถค้างชำระภาษี ไม่เกิน 1 ปี
- รถที่ไม่ถูกอายัดทะเบียน
- รถที่มีสถานะทะเบียนปกติ หรือไม่ถูกระงับทะเบียนจากการค้างชำระภาษีประจำปี ติดต่อกันครบ 3 ปี
เอกสารที่ใช้ประกอบในการยื่นภาษีออนไลน์
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถตัวจริงหรือสำเนา (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
- หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.(ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
- บัตรประชาชนเจ้าของรถ (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
- หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถยนต์จากสถานตรวจสภาพรถเอกชน ตรอ. สำหรับรถที่มีอายุใช้งานเกิน 7 ปี รถยนต์ หรือ 5 ปี รถมอเตอร์ไซค์ (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
- ข้อมูล พ.ร.บ.ที่มีวันสิ้นสุดอายุการคุ้มครองไม่น้อยกว่า 90 วัน (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
ขั้นตอนการชำระภาษีรถออนไลน์ทำอย่างไร?
- โหลดแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax หรือ เข้าไปยังเว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th
- Log-in เข้าสู่ระบบ หรือถ้ายังไม่เคยต่อภาษีแบบออนไลน์ ให้เลือก “ลงทะเบียนสมาชิกใหม่”
- จากนั้นเลือก “ชำระภาษีรถประจำปี” ในเมนูย่อยเลือก “ชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเตอร์เน็ต”
- กดไปที่ “ลงทะเบียนรถ”
- ระบุข้อมูลให้ครบถ้วนแล้วกดปุ่มบันทึก
- ข้อมูลรถจะขึ้นที่ตารางด้านล่าง จากนั้นกดที่ “ช่องยื่นชำระภาษี”
- กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วกดไปที่ “กรอกสถานที่จัดส่งเอกสาร”
- กรอกที่อยู่ในการจัดส่งเอกสารให้ถูกต้อง จากนั้นเลือก “วิธีการชำระเงิน”
- เลือกวิธีชำระเงิน สามารถทำได้ 3 วิธี
- หักจากบัญชีเงินฝาก
- บัตรเครดิต/บัตรเดบิต
- เคาน์เตอร์บริการ
- ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง จากนั้นกด “ยืนยัน”
เห็นมั้ยว่าการยื่นภาษีออนไลน์ง่ายนิดเดียว อีกทั้งยังสะดวก รวดเร็ว สามารถทำเองได้ง่ายๆอีกด้วย
ข่าวสารที่คุณอาจสนใจ
PTG ทุ่ม 825 ลบ.ผนึก "ไพศาล แคปปิตอล"
PTG ทุ่ม 825 ลบ.ผนึก “ไพศาล แคปปิตอล”เปิดมิติใหม่ รุกขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองครั้งแรก อัพฐานลูกค้า-ยกระดับบริการหนุนอนาคตโตแกร่ง
บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจ เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับบริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด เพื่อร่วมกันเปิดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนสัดส่วน 33.33% มูลค่า 825 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกของ PTG ในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ และเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus จากปัจจุบันมีฐานสมาชิกกว่า 20 ล้านรายจะได้รับประโยชน์ในครั้งนี้ รวมทั้งช่วยต่อยอดธุรกิจ สนับสนุนอนาคตเติบโตอย่างมั่นคง
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด จำนวน 50,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 33.33 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของไพศาล มูลค่าลงทุน 825,000,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง
สำหรับการร่วมมือกับ บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของบริษัทฯ ที่นำไปสู่การดำเนินธุรกิจสินเชื่อ โดยการเข้าซื้อหุ้นของไพศาลมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโต สร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน และต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ของบริษัทฯ เพื่อขยายความหลากหลายของบริการให้ลูกค้าอยู่ดีมีสุข
“บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญในการขยายช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจหลักในอนาคตได้โดยมีความตั้งใจจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากขึ้น พร้อมทั้งสร้างช่องทางใหม่สำหรับลูกค้าซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิกกว่า 20 ล้านสมาชิกได้เข้าถึงบริการที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจและแบรนด์ PTG ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น” นายพิทักษ์ กล่าว
ด้านนายสุกฤษฏิ์ เหรียญภิญญวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือกับ PTG ในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันในการร่วมสร้างโอกาสทางการเงินให้กับผู้คน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งไปพร้อมกันๆ ทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญช่วยเพิ่มพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯ ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพของ PTG ที่มีความต้องการขยายธุรกิจและสร้างแบรนด์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จักในตลาด จึงเชื่อมั่นว่า PTG จะช่วยส่งเสริมธุรกิจของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง สินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ และสินเชื่อ Refinance ดำเนินธุรกิจมา 21 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการสินเชื่อในระดับประเทศและภูมิภาค และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในการใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ หรือแหล่งเงินกู้ ภายใต้วิสัยทัศน์เป็นแบรนด์ที่มั่นคง ดำเนินกิจการอย่างมีจรรยาบรรณ จริงใจและมีความน่าเชื่อถือ สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภค โดยบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของสังคมไทยด้วยการให้ความคล่องตัวทางการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 9 สาขา ครอบคลุมเกือบทุกภาคของประเทศ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มลูกค้าบุคคลที่ใช้รถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีพอร์ตลูกหนี้เช่าซื้อกว่า 2,600 ล้านบาท
ขอบคุณที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1107526
PTG บวก2% หลังเข้าซื้อหุ้น “ไพศาลแคปปิตอล” 33.33% รุกปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง
PTG วิ่ง2% รับข่าวเข้าซื้อ “ไพศาลแคปปิตอล” สัดส่วน 33.33% มูลค่า 825 ล้านบาท รุกประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง สินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ และสินเชื่อรีไฟแนนซ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (มค. 67) ราคาหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ณ เวลา 10:45 น. อยู่ที่ระดับ 8.90 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 1.71% สูงสุดที่ระดับ 8.95 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34.30 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 3 วันทำการบวกไป 9.81%
สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตอบรับข่าว หลัง PTG แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าร่วมลงทุนโดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด จำนวน 50,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 33.33 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของไพศาล มูลค่าลงทุน 825 ล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในของบริษัทไพศาลเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ รถบรรทุกมือสอง สินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ และสินเชื่อรีไฟแนนซ์
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นของไพศาลมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโต สร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน และต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจของบริษัท เพื่อขยายความหลากหลายของบริการให้ลูกค้าอยู่ดีมีสุข
ขอบคุณที่มา : https://www.kaohoon.com/breakingnews/646730
เส้นทางเลี่ยงรถติด ปี2567
กรมทางหลวง แนะนำ ”เส้นทางเลี่ยงรถติด” ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เพื่อให้ผู้ใช้ทางได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง
โดยนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 – 1 มกราคม 2567 เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางและหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลดังกล่าว ตามข้อสั่งการของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้เน้นย้ำความสะดวกในการเดินของประชาชน ตามนโยบาย “คมนาคม เพื่อความอุดุมสุขของประชาชน” กรมทางหลวงจึงได้แนะนำเส้นทางเลือกบนทางหลวงสายหลักและสายรอง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี ดังนี้
กรุงเทพฯ – ภาคเหนือ
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไปรังสิต (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.พระนครศรีอยุธยา – จ.อ่างทอง – จ.สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 32 ถนนสายเอเชีย) – อ.มโนรมย์ (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป จ.นนทบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง – สุพรรณบุรี) –จ.สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 สุพรรณบุรี – ชัยนาท) – จ.ชัยนาท (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้า สู่จังหวัดนครสวรรค์
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป รังสิต – อ.วังน้อย – จ.สระบุรี – จ.ลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – อ.ตากฟ้า (ทางหลวงหมายเลข 11) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลก
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไปรังสิต – ต่างระดับคลองหลวง (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) –– ทางหลวงหมายเลข 347 – ทางหลวงหมายเลข32 จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคเหนือ
- เส้นทางที่5 จากกรุงเทพฯไปวงแหวนตะวันออก (ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9) – ต่างระดับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) – อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 32 จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคเหนือ
กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.สระบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – ต.ม่วงค่อม จ.ลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 21) – ต.ห้วยบง (ทางหลวงหมายเลข 2256) – อ.ด่านขุนทด (ทางหลวงหมายเลข 2148) – ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.สระบุรี – อ.ปากช่อง – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป จ.นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) – อ.บ้านนา (ทางหลวงหมายเลข 3051) – อ.แก่งคอย (ทางหลวงหมายเลข 3222) – อ.ปากช่อง (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา หรือ จากอ.บ้านนา ใช้ทางหลวงหมายเลข 33 - อ.กบินทร์บุรี มุ่งหน้าสู่อ.อรัญประเทศ
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไป จ.ฉะเชิงเทรา (ทางหลวงหมายเลข 314 หรือ ทางหลวงหมายเลข 304) – อ.พนมสารคาม – อ.กบินทร์บุรี – อ.วังน้ำเขียว – อ.ปักธงชัย (ทางหลวงหมายเลข 304) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 5 จากกรุงเทพฯไป อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.สระบุรี – อ.ปากช่อง – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) – ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (ทางเบี่ยงที่กม.65) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออก
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.ชลบุรี (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สาย กรุงเทพฯ – ชลบุรี – พัทยา – มาบตาพุด)
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.บางปะกง (ทางหลวงหมายเลข 34 ถนนเทพรัตน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป อ.พนัสนิคม – จ.ชลบุรี (ทางหลวงหมายเลข 304)
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไปทางหลวงหมายเลข 34 ถนนเทพรัตน – ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา – ชลบุรี)จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท
กรุงเทพฯ – ภาคใต้
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.สมุทรสาคร – จ.สมุทรสงคราม (ทางหลวงหมายเลข 35 ถนนพระราม 2) – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.สามพราน – อ.นครชัยศรี – จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป ถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338 ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี) – อ.นคร ชัยศรี –จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กรุงเทพฯ – ภาคตะวันตก
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.นครปฐม (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี (ทางหลวงหมายเลข 324 กาญจนบุรี - จระเข้สามพัน)
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไปถนนตลิ่งชัน - อ.ลาดหลุมแก้ว (ทล.9 ถนนกาญจนาภิเษก) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี (ทางหลวงหมายเลข 346 ต่างระดับรังสิต - พนมทวน)
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป จ.นครปฐม (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) – มุ่งหน้าด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก (ทล.321 นครปฐม – สุพรรณบุรี) เพื่อเข้าสู่ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 บางใหญ่ - กาญจนบุรี
ทั้งนี้กรมทางหลวงขอความร่วมมือผู้ใช้ทางขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง
- สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
- สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193
ขอบคุณที่มา : กรมทางหลวง
สีรถถูกโฉลก ตามวันเกิด เสริมดวงให้ปังทั้งปี 2567
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันจันทร์
เสริมการงาน : สีม่วง สีฟ้า
เสริมโชคลาภ : สีเหลืองแก่
เสริมเสน่ห์ : สีเขียว สีส้ม สีทอง
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีม่วงเปลือกมังคุด
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีแดง สีดำ
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันอังคาร
เสริมการงาน : สีชมพู
เสริมโชคลาภ : สีแดง สีส้ม สีทอง
เสริมเสน่ห์ : สีดำ สีม่วง
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีเขียว
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีขาว สีเหลือง สีฟ้า สีน้ำเงิน
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันพุธ (กลางวัน)
เสริมการงาน : สีฟ้า
เสริมโชคลาภ : สีส้ม สีทอง สีม่วง
เสริมเสน่ห์ : สีน้ำเงิน สีดำ สีม่วง
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีทอง สีเหลือง
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีแดง สีชมพู
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันพุธ (กลางคืน)
เสริมการงาน : สีดำ
เสริมโชคลาภ : สีแดง สีน้ำตาล
เสริมเสน่ห์ : สีน้ำเงิน สีฟ้า
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีทอง สีเหลือง
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีเขียว สีส้ม
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันพฤหัส
เสริมการงาน : สีดำ
เสริมโชคลาภ : สีส้ม สีฟ้า
เสริมเสน่ห์ : สีน้ำเงิน
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีแดง สีทอง สีเหลือง
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีม่วง สีชมพู
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันศุกร์
เสริมการงาน : สีแดง
เสริมโชคลาภ : สีส้ม
เสริมเสน่ห์ : สีฟ้า
แคล้วคลาดปลอดภัย : สีชมพู
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีดำ สีม่วง
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันเสาร์
เสริมการงาน : สีน้ำตาล สีส้ม สีม่วง
เสริมโชคลาภ : สีแดง สีน้ำเงิน
เสริมเสน่ห์ : สีดำ สีม่วงแก่ สีฟ้า
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีเขียว สีเหลือง สีขาว
สีรถถูกโฉลก คนเกิดวันอาทิตย์
เสริมการงาน : สีม่วง สีชมพู
เสริมโชคลาภ : สีดำ สีน้ำเงิน สีเทา
เสริมเสน่ห์ : สีม่วงเปลือกมังคุด สีแดง สีเลือดหมู สีดำ
สีต้องห้ามที่เป็นกาลกิณี
สีฟ้า สีน้ำเงิน สีส้ม
วิธีสังเกตอาการของรถเบื้องต้น
1. ปัญหาของยาง
ปัญหาลำดับแรกที่ชาวสองล้อต้องเจอและสังเกตอาการได้ง่ายที่สุดก็คือ ยางมอเตอร์ไซค์ เพราะเป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งาน มีกำหนดระยะเวลาที่เสื่อมคุณภาพ และถึงแม้จะยังใช้งานได้ไม่ครบตามอายุหรือระยะทางแต่ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ยางรั่ว ยางแตก ได้เหมือนกัน
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
ควรตรวจเช็กยางมอเตอร์ไซค์ทั้งล้อหน้า ล้อหลังเป็นประจำทุกครั้งก่อนใช้งาน ควรเติมลมยางให้พอดี ไม่อ่อน-แข็งจนเกินไป หากพบรอยแตกลายงาหรือดอกยากเริ่มสึกจนเริ่มมองเห็นสะพานยาง ควรรีบดำเนินการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ในทันที
2. แบตเตอรี่หมด
หลายคนน่าจะต้องเคยประสบพบเจอกับอาการสตาร์ตไม่ติด สาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือแบตเตอรี่ที่อาจเสื่อมสภาพหรือมีกำลังไฟอ่อนเมื่อมีการใช้งานผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ถ้าเราลืมปิดระบบไฟต่าง ๆ ก็อาจทำให้แบตเตอรี่หมดก่อนเวลาอันควรได้
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
มอเตอร์ไซค์จะมีอาการสตาร์ตติดยาก เสียงขณะสตาร์ตจะมีการลากยาวกว่าปกติ หรือบางทีอาจไม่ติดเลย หากเริ่มมีอาการดังกล่าวควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็ก และทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ในทันที
3.ปัญหาจากหัวเทียนเสื่อมคุณภาพ
หัวเทียนบอด หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำนี้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งของการสตาร์ตติดยาก หรือสตาร์ตไม่ติด นอกจากนี้ยังส่งผลไปถึงการขับขี่ เช่น เครื่องยนต์สะดุด อัตตราเร่งทำได้ไม่ดี และสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
หากเริ่มมีอาการสตาร์ตติดยาก หรือสตาร์ตไม่ติด ถ้าตวรจเช็กแบตเตอรี่แล้วเป็นปกติ ให้สงสัยหัวเทียนเป็นลำดับต่อมาได้เลย และยิ่งถ้ามีอาการ เครื่องสะดุด เร่งไม่ขึ้น กินน้ำมันมาก มีโอกาสสูงที่จะเกิดจากหัวเทียน ควรนำรถเข้าตรวจเช็กในทันที
4. ปัญหาโช้คอัพหมดอายุ
ระบบกันสะเทือนหรือโช้คอัพ มีหน้าที่สำคัญในการรองรับการกระแทก เพิ่มความนุ่มนวลและการทรงตัวที่ดีขณะขับขี่ ส่วนใหญ่โช้คอัพจะมีอายุการใช้งานที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ใช้และสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน หากฝืนใช้โช้คอัพที่มีปัญหาอาจเกิดอันตรายขณะขับขี่ได้
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
ขณะขับขี่หากเกิดการกระเด้ง หรือสะเทือนมากกว่าปกติ ทรงตัวได้ยากเมื่อต้องขับผ่านถนนที่เป็นเนิน ให้ตรวจสอบโช้คอัพว่ามีอาการรั่วหรือไม่ โดยดูจากคราบน้ำมันที่แกนโช๊ค พร้อมสำรวจรอยแตกหรือร้าว หากพบควรรีบดำเนินการเปลี่ยนใหม่ทันที
5.ปัญหาโซ่และสเตอร์หย่อนหรือสึก
โซ่และสเตอร์เป็นชิ้นส่วนที่อยู่ในรถมอเตอร์ไซค์ชนิดมีเกียร์ทุกรุ่น โดยจะทำหน้าที่รับกำลังจากเครื่องยนต์ทำให้รถขับเคลื่อนไปได้ เมื่อใช้งานไปสักระยะโซ่จะเริ่มหย่อน ฟันสเตอร์จะเริ่มสึก การขับขี่จะไม่นุ่มนวลเหมือนเดิม เกิดเสียงรบกวนจะได้ยินชัดเจนในรถที่มีฝาครอบโซ่หรือที่เรียกกันว่าบังโซ่
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
หากเอามือกดที่โซ่แล้วสามารถกดลงได้มากหรืออกแรงเพียงนิดหน่อยก็สามารถกดโซ่ลงได้ นั่นคืออาการของโซ่หย่อน เบื้องต้นให้ดำเนินการลองปรับตั้งโซ่และหยอดน้ำมันดูก่อน หากใช้งานแล้วยังไม่ดีขึ้นควรเปลี่ยนทันที ส่วนสเตอร์ให้สังเกตที่ฟันว่ามีรอยร้าว แตก หัก หรือสึกมากเกินไปหรือไม่ หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้รีบเปลี่ยนทันที
6.สายพานหย่อน แตกลายงา
สายพานทำหน้าที่คล้ายกับโซ่และสเตอร์ โดยจะอยู่ในรถมอเตอร์ไซค์ประเภทเกียร์ออโตเมติก ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานที่ 15,000-25,000 กิโลเมตร ถึงจะทำการเปลี่ยนเส้นใหม่ หรือบางคนอาจเปลี่ยนช้าหรือเร็วกว่านี้ก็ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการขับขี่และการใช้งานของแต่ละคนด้วย
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
ถ้าสายพานเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ จะส่งผลต่อการขับขี่ที่รับรู้ได้ คือจะมีอาการสั่นขณะออกตัว เกิดเสียงดังที่บริเวณสายพาน ควรเปิดฝาครอบเครื่องแล้วตรวจเช็กว่ามีรอยแตกลายงาหรือไม่ หากพบควรเปลี่ยนทันที หากเสี่ยงใช้สายพานอาจขาดขณะขับขี่ได้
7. ปัญหาระบบไฟช๊อตหรือสายไฟขาด
นอกจากไฟหน้า, ไฟท้าย และไฟเลี้ยวแล้วระบบไฟในที่นี้ยังรวมถึงส่วนอื่น ๆ ของตัวรถ เช่น ระบบไฟบอกสถานะเกียร์ หรือระบบไฟแจ้งเตือนต่าง ๆ แม้จะมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานเพราะหลอดไฟในจุดนี้ไม่ค่อยขาดง่าย แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น หนูกัดสายไฟ มีมดเข้าไปทำรัง ก็อาจทำให้ระบบไฟไม่ติดหรือรวนได้เช่นกัน
วิธีสังเกตในเบื้องต้น
หมั่นตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟบอกสถานะเกียร์ หรือระบบไฟแจ้งเตือนต่าง ๆ เป็นประจำอยู่เสมอ หากไฟไม่ติดในบางจุดแต่ยังสามารถใช้รถได้ปกติอาจเป็นไปได้ว่าแค่หลอดขาดเท่านั้น แต่ถ้าไฟไม่ติด กระพริบ หรือรถสตาร์ตทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่ และน้ำมันก็เต็มถัง ให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะโดนหนูกัดสายไฟเข้าให้แล้ว
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงอาการที่มักพบได้บ่อยในรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ว่าจะเป็น รถมอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์ รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก หรือรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ แต่ก็อาจมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อยขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น เราจึงควรตรวจสอบ และบำรุงรักษารถมอเตอร์ไซค์อย่างสม่ำเสมอตามคู่มือเพื่อยืดอายุการใช้งาน และความปลอดภัยในการขับขี่
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://car.kapook.com/view248191.html
ฤกษ์ออกรถปี 2567 เช็กฤกษ์ดีปังทั้งปีไปเลย!!
ฤกษ์ออกรถ เดือน มกราคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2567
วันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2567
วันพุธที่ 17 มกราคม 2567
วันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2567
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2567
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2567
ฤกษ์ออกรถ เดือน กุมภาพันธ์
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567
ฤกษ์ออกรถ เดือน มีนาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2567
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2567
ฤกษ์ออกรถ เดือน เมษายน 2567
วันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2567
วันพุธที่ 3 เมษายน 2567
วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2567
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567
ฤกษ์ออกรถ เดือน พฤษภาคม 2567
วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2567
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2567
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน มิถุนายน 2567
วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน 2567
วันพุธที่ 5 มิถุนายน 2567
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2567
วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2567
วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2567
วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน กรกฎาคม 2567
วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2567
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2567
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน สิงหาคม 2567
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2567
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2567
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน กันยายน 2567
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2567
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2567
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2567
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2567
วันพุธที่ 25 กันยายน 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน ตุลาคม 2567
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2567
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2567
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567
วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2567
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน พฤศจิกายน 2567
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2567
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2567
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2567
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2567
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2567
ฤกษ์ออกรถประจำเดือน ธันวาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567
วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2567
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2567
พฤติกรรมที่ไม่ควรทำขณะขับรถ
1.เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ
ไม่ควรเล่นโทรศัพท์ขณะขับหรือขี่รถเพราะจะทำให้เพ่งสมาธิไปที่หน้าจอโทรศัพท์มากกว่าการมองถนนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
2.ไม่เปิดไฟเลี้ยว
หากคุณละเลยการเปิดสัญญาณไฟ นึกอยากเลี้ยวก็เลี้ยว อาจทำให้รถคันหลังที่ตามมาไม่รู้ว่าคุณกำลังจะเลี้ยวและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตได้
3.เมาแล้วขับ
ส่วนมากอุบัติบนท้องถนนส่วนใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ ทำให้ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการเมาแล้วขับค่อนข้างมาก
4.ปาดหน้ารถคันอื่น
การปาดหน้ารถผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะหลายครั้งที่มีข่าวเกิดเหตุทะเลาะวิวาทจากการขับรถปาดหน้ากันมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เพราะงั้นขับรถแบบมีไมตรีต่อเพื่อนร่วมทางดีที่สุด
5.ดัดแปลงไฟท้าย
การดัดแปลงไฟท้ายรถหรือแต่งสีไฟสว่างมากเกิน อาจทำให้เป็นอันตรายต่อสายตาผู้ร่วมทางเพราะแสงไฟท้ายที่ดัดแปลงนั้นจะสว่างมากจนทำให้ปรับสายตาไม่ทัน อีกทั้งการดัดแปลงไฟรถก็ยังผิดกฎหมายอีกด้วย
6.ขับรถจี้ท้ายคันอื่น
การขับขี่ที่ปลอดภัย เราควรขับเว้นระยะจากรถคันหน้า ไม่ควรขับจี้ท้ายเพราะหากรถคันหน้าเบรกกะทันหันขึ้นมา เราอาจจะชนท้ายคันหน้าเต็มๆ
7.ขับรถคร่อมเลน
จะเลนซ้ายก็ไม่ไป จะเลนขวาก็ไม่ไป ไม่เลือกซักเลน ทำให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นที่ตามมาสับสนไม่รู้ว่าควรไปเลนไหน อาจทำให้เกิดอันตรายตามมาโดยไม่คาดคิด
8.ขับรถแช่เลน
ตามกฎหมายเลนขวามีไว้สำหรับแซงเท่านั้น เมื่อเข้าเลนขวาแล้วแซงขึ้นมาจนถึงระยะที่ปลอดภัย ผู้ขับขี่ต้องตีรถกลับเข้ามาในเลนซ้ายเช่นเดิม “ห้ามแช่ขวา” เพราะเลนขวาเป็นช่องทางสำหรับรถวิ่งความเร็วสูง การขับรถแช่อยู่เลนขวาจึงไม่เพียงแค่ก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่ผู้ขับที่ตาม แต่ยังเพิ่มโอกาสการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วย
9.จอดในที่ห้ามจอด
ความมักง่ายจากการจอดในที่ห้ามจอดมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำเพราะการจอดในที่ห้ามจอดนั้น มีโทษปรับทางกฎหมายด้วยนะ!
ยางรถระเบิดเกิดจากอะไร?
หลายคนอาจเคยเจอเหตุการณ์ยางรถระเบิดบนท้องถนนมาบ้าง โดยส่วนมากที่พบจะเป็นการระเบิดของยางรถบรรทุก ที่มักจะพบเศษซากของยางจากการระเบิดอยู่เต็มท้องถนน ว่าแต่ทำไมยางรถถึงได้ระเบิดล่ะ? วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ
ยางระเบิดเกิดจากสาเหตุใดบ้าง?
ยางหมดอายุ เนื้อยางเสื่อมสภาพ ยางมีรอยแตก
ค่าลมยางต่ำกว่าตามที่กำหนด อาจทำให้เกิดความร้อนจนทำให้แรงดันภายในสูงขึ้น ทำให้แก้มยางรับน้ำหนักมากจนเกินไป
ยางได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ตกหลุมขณะขับด้วยความเร็วสูง อาจเป็นสาเหตุทำให้หน้ายางเกิดความเสียหาย
ใช้ยางไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
วิธีป้องกันยางระเบิด
หมั่นตรวจเช็กสภาพยางอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
เช็กแรงดันลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดอยู่เสมอ
เลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถแต่ละประเภท
หากบนท้องถนน มีสภาพเป็นหลุมบ่อ หรือ ไม่คุ้นชินทาง ไม่ควรขับรถด้วยเร็วสูง
วิธีรับมือหากยางรถระเบิด
ตั้งสติและพยายามควบคุมรถไว้ให้ได้
ห้ามเบรกกะทันหัน เพราะจะยิ่งทำให้รถสะบัดและอาจทำให้รถหมุนได้
ห้ามหมุนพวงมหาลัย เมื่อยางระเบิดรถจะถูกดึงไปด้านที่ยางระเบิด จะทำให้รถสะบัด ควรค่อยๆขับประคองรถให้ตรงไปข้างหน้าให้มากที่สุดก่อน
ลดคันเร่งลง จะช่วยให้เราสามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น หากควบคุมได้แล้ว ให้ค่อยๆถอนคันเร่งด้วยความระมัดระวัง
เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ใช้รถคันอื่นทราบว่ารถเรากำลังมีปัญหา
เมื่อรถมีความเร็วที่ต่ำลง ให้ค่อยๆหาจุดจอดที่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม การระเบิดของยางรถ เป็นเหตุการณ์ที่อันตรายและน่าตกใจ เนื่องจากความดังของเสียงที่เกิดจากการระเบิดและการเสียการควบคุมของรถกะทันหัน ผู้ขับนั้นต้องมีสติให้มากๆ เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
น้ำมันรถมีกี่ประเภท?
น้ำมันรถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.น้ำมันเบนซิน คือน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เป็นน้ำมันที่กลั่นออกมาจาก “น้ำมันดิบ” และนำมาเข้าสู่กระบวนการ “ออกเทน” เพื่อพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
- น้ำมันเบนซิน 95 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูงและขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเสถียรมากที่สุด เพราะมีค่าออกเทนสูงถึง95% ทำให้การเผาไหม้เครื่องยนต์สมบูรณ์และตอบสนองต่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อขับขี่
-น้ำมันเบนซิน 91 เป็นน้ำมันเชื้อเพลงที่คล้ายคลึงกับเบนซิน 95 แต่คุณภาพจะลดลงมาเล็กน้อย
2.น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คือน้ำมันเบนซินอีกประเภทหนึ่งที่สกัดจากพืชหลากหลายชนิด เช่น มันเทศ ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งเรียนกันว่า “เอทานอล” เมื่อนำมาผสมกับน้ำมันเบนซิน จะกลายเป็น พลังานทดแทนแก๊สโซฮอล์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 หรือ E10 สามารถทดแทนน้ำมันเบนซิน 91 ได้แนะนำให้ใช้กับรถยนต์ที่ระบุว่าใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เท่านั้น
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือ E10 สามารถทดแทนน้ำมันเบนซิน 95 ได้เช่นกัน โดยราคาจะถูกกว่าเบนซิน 95 แต่ถ้าหากจอดรถไว้นานๆก็อาจจะระเหยได้ แนะนำให้ใช้กับรถยนต์ที่ระบุว่า ใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เท่านั้น
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 หรือ เบนซิน E20 มีส่วนผสมระหว่างออนเทน95 80% และเอทานอล20% ซึ่งประสิทธิภาพไม่แตกต่างกับแก๊สโซฮอล์ 91,95 ซักเท่าไหร่นัก
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 คือน้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินและสารตะกั่ว ในอัตราส่วน เบนซิน 15% เอทานอล 85% ซึ่งน้ำมันชนิดนี้ ไม่สามารถสู้น้ำมันชนิดอื่นๆได้ในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ได้ เพราะน้ำมันประเภทนี้ มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์สูง ทำให้มีการเผาไหม้ที่เร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ ค่อนข้างที่จะเปลืองน้ำมัน
3.น้ำมันดีเซล คือ “น้ำมันดิบ” ที่ได้จากการกลั่นน้ำมัน มีจุดเดือดสูงถึง 180-370 องศาเซลเซียส โดยน้ำมันดีเซลจะใช้ได้เฉพาะกับเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
- น้ำมันพรีเมียมดีเซล จะมีราคาสูงและคุณภาพน้ำมันสูง ส่งผลให้สมรรถนะของรถยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและการเผาไหม้ดี
- น้ำมันไบโอดีเซล B7 เป็นน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล 7% และมีการใส่สารเติมแต่งคุณภาพต่างๆลงไปด้วยเช่นกัน
- น้ำมันไบโอดีเซล B10 หรือ “ดีเซล” คือน้ำมันที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล 10%
- น้ำมันไบโอดีเซล B20 คือน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับแต่งให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดลล้อมมากขึ้นและมีราคาประหยัด
ต่อภาษีรถออนไลน์ง่ายนิดเดียว
โดยปัจจุบันสามารถต่อภาษีรถออนไลน์ได้แล้วนะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง มาดูกันเลย
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีออนไลน์ได้
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1) อายุไม่เกิน 7 ปี
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2) อายุไม่เกิน 7 ปี
รถบรรทุกส่วนบุคคล (รย.3) อายุไม่เกิน 7 ปี
รถจักยานยนต์ (รย.12) ไม่เกิน 5 ปี
รถค้างชำระภาษี ไม่เกิน 1 ปี
รถที่ไม่ถูกอายัดทะเบียน
รถที่มีสถานะทะเบียนปกติ หรือไม่ถูกระงับทะเบียนจากการค้างชำระภาษีประจำปี ติดต่อกันครบ 3 ปี
เอกสารที่ใช้ประกอบในการยื่นภาษีออนไลน์
สมุดคู่มือจดทะเบียนรถตัวจริงหรือสำเนา (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.(ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
บัตรประชาชนเจ้าของรถ (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถยนต์จากสถานตรวจสภาพรถเอกชน ตรอ. สำหรับรถที่มีอายุใช้งานเกิน 7 ปี รถยนต์ หรือ 5 ปี รถมอเตอร์ไซค์ (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
ข้อมูล พ.ร.บ.ที่มีวันสิ้นสุดอายุการคุ้มครองไม่น้อยกว่า 90 วัน (ถ่ายเป็นไฟล์ภาพ)
ขั้นตอนการชำระภาษีรถออนไลน์ทำอย่างไร?
โหลดแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax หรือ เข้าไปยังเว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th
Log-in เข้าสู่ระบบ หรือถ้ายังไม่เคยต่อภาษีแบบออนไลน์ ให้เลือก “ลงทะเบียนสมาชิกใหม่”
จากนั้นเลือก “ชำระภาษีรถประจำปี” ในเมนูย่อยเลือก “ชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเตอร์เน็ต”
กดไปที่ “ลงทะเบียนรถ”
ระบุข้อมูลให้ครบถ้วนแล้วกดปุ่มบันทึก
ข้อมูลรถจะขึ้นที่ตารางด้านล่าง จากนั้นกดที่ “ช่องยื่นชำระภาษี”
กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วกดไปที่ “กรอกสถานที่จัดส่งเอกสาร”
กรอกที่อยู่ในการจัดส่งเอกสารให้ถูกต้อง จากนั้นเลือก “วิธีการชำระเงิน”
เลือกวิธีชำระเงิน สามารถทำได้ 3 วิธี
- หักจากบัญชีเงินฝาก
- บัตรเครดิต/บัตรเดบิต
- เคาน์เตอร์บริการ
ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง จากนั้นกด “ยืนยัน”
เห็นมั้ยว่าการยื่นภาษีออนไลน์ง่ายนิดเดียว อีกทั้งยังสะดวก รวดเร็ว สามารถทำเองได้ง่ายๆอีกด้วย
ใบขับขี่หาย?ทำอย่างไรดี
ใบขับขี่ หรือ ใบอนุญาตขับขี่ คือ ใบอนุญาตให้เราสามารถขับขี่จักยานยนต์ รถยนต์ หรือรถประเภทอื่นๆตามได้รับอนุญาต ผู้ขับขี่จะต้องพกใบอนุญาตขับขี่ติดตัวเสมอ หากถูกเจ้าพนักงานเรียกแล้วไม่ได้นำใบอนุญาตขับขี่มาด้วย จะถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย
ใบขับขี่หาย ทำอย่างไร?
ปัจจุบันหากทำใบขับขี่หายไม่ต้องไปแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจแล้ว โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ตามประเภทของใบขับขี่ที่ครอบครอง ดังนี้
1. ใบขับขี่ส่วนบุคคล : สามารถจองคิวทำใบขับขี่ล่วงหน้าได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue โดยสามารถเลือกวันและเวลาที่สะดวก หรือจะ Walk-in เข้ามาที่สำนักงานได้เช่นกัน
2. ใบขับขี่รถสาธารณะ : จำเป็นต้องมีใบแจ้งความ เพื่อยื่นประกอบการทำใบขับขี่ใหม่
จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ยากไหม?
ต้องบอกเลยว่าไม่ยาก เพราะตัวแอปพลิเคชันรูปแบบการใช้งานค่อนข้างง่าย ทำตามขั้นตอนได้ดังนี้
1.ลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบ
2.เลือกสำนักงานขนส่งที่ต้องการ
3.เลือกประเภทบริการ “งานใบอนุญาต”
4.เลือกประเภทใบอนุญาตขับรถ จากนั้นเลือกประเภทเข้ารับบริการ”อื่นๆ”
5.เลือกประเภทยานพาหนะ จากนั้นกดไปที่”ใบอนุญาตขับรถสูญหาย”
6.เลือก”ใบอนุญาตส่วนบุคคล : ใบแทนชำรุดหรือสูญหาย”
7.เลือกวันที่ต้องการทำใบขับขี่ และกดเลือกช่วงเวลาที่ต้องการเข้าใช้บริการ กดยืนยัน และบันทึกภาพหน้าจอเก็บไว้เป็นหลักฐานแสดงกับเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่ง