บทความเกี่ยวกับสาระความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อรถบรรทุก
กฎหมายจราจร 2567 ค่าปรับเท่าไหร่บ้าง ?

กฎหมายค่าปรับจราจรใหม่ หากขับรถผิดกฎจราจร มีโทษอะไรบ้าง
- ขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
- ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
- ขับรถผ่านทางม้าลายโดยไม่หยุดให้คนข้าม ปรับไม่เกิน 4,000 ( เดิม 1,000 บาท )
- ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
- ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
- ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
- ขับรถโดยไม่คำนึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น ปรับไม่เกิน 5,000 – 20,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ( เดิม 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )
- เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ไม่นั่ง Car Seat ปรับ 2,000 บาท
- ขับขี่บนทางเท้า ปรับ 400 – 1,000 บาท และผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
- ไม่หยุดรถหลังเส้นหยุดรถบริเวณสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
- กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (โดยไม่มีเครื่องหมายจราจรอนุญาต) ปรับ 400 – 1,000 บาท
- ไม่ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดก่อนหรือระหว่างขับขี่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- แข่งรถบนถนนสาธารณะ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ขับรถเหยียบสุนัข โดนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ขับรถเหยียบน้ำกระเด็นใส่ผู้อื่น ปรับสูงสุด 10,000 บาท โทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน
นอกเหนือจากนี้ ยังมีค่าปรับอัตราโทษอื่นๆ อีก สามารถเข้าไปดูได้ที่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13 ) พ.ศ. 2565 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากสายด่วนจราจร 1197
บทความที่คุณอาจสนใจ

เมาแล้วขับเคลมประกันได้ไหม?
หลายคนสงสัยว่าหากเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ประกันจะจ่ายไหม? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท รวมถึงถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไปจนถึงการเพิกถอนใบขับขี่ แต่ถ้าคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส โทษจะเป็นจำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท และระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 2 ปี ส่วนการเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000 – 200,000 บาท และผู้ขับขี่จะถูกเพิกถอนใบขับขี่ทันที ในส่วนของการเคลมประกันกรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุแต่ละประกันจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปทั้งประกันภาคสมัครใจและประกันภาคบังคับ
สำหรับประกันภาคบังคับหรือพ.ร.บ.
จะคุ้มครองผู้เอาประกันและคู่กรณีโดยไม่พิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด จะคุ้มครองในส่วนของค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลแต่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถจะไม่คุ้มครอง
สำหรับประกันภาคสมัครใจ
แอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับนั้นต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้นถึงจะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี แต่ถ้าหากแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น ประกันภัยรถยนต์จะไม่คุ้มครองไม่ว่ากรณีใดๆแม้ว่าจะทำประกันชั้น 1 ก็ตาม โดยประกันจะจ่ายค่าความเสียหายให้เฉพาะรถยนต์คู่กรณีเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ทำประกันจะต้องจ่ายเงินส่วนนี้คืนในภายหลังทั้งหมด
พฤติกรรมเมาแล้วขับนอกจากจะได้รับโทษตามกฎหมายแล้วแล้วนั้นอาจเป็นเหตุที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายได้ สรุปเลยก็คือหากเมาแล้วขับ สามารถเคลมประกันได้จากพ.ร.บ.แค่ค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้รักษาได้ทันท่วงทีเท่านั้น ส่วนค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ต้องจ่ายเอง ยิ่งถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น แม้แต่ประกันชั้น 1

เคลมสด เคลมแห้ง ต่างกันอย่างไร?
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า เคลมสด-เคลมแห้ง ว่าแต่ความหมายของสองคำนี้คืออะไรล่ะ? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
ในการเคลมประกันรถยนต์จะมีศัพท์เฉพาะของการเคลมเพื่อเอาประกันภัยนั่นก็คือ เคลมสดกับเคลมแห้ง
การเคลมสด
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นทันทีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกันโดยที่มีคู่กรณีอยู่ด้วย โดยจะติดต่อให้เจ้าหน้าที่ประกันเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบและออกเอกสารสำหรับทำเรื่องเคลม แต่ถ้าหากอุบัติเหตุนั้นมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ อาจต้องเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก โดยใช้หลักฐานเป็นใบขับขี่และหน้ากรมธรรม์ประกันภัยที่เราทำไว้
วิธีการเคลลมสด
- สำรวจความเสียหาย ถ่ายรูปที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นให้นำรถออกเส้นทางจราจร
- ติดต่อบริษัทประกันภัย แจ้งหมายเลขกรมธรรม์ ชื่อ ทะเบียน ยี่ห้อรถ ลักษณะอุบัติเหตุ รายละเอียดและสถานที่เกิดเหตุ
- รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายและออกใบแจ้งเคลม
การเคลมแห้ง
คือ การเคลมที่เกิดขึ้นหลังจากที่อุบัติเหตุนั้นผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายเล็กๆน้อยๆและไม่มีคู่กรณี เช่น อุบัติเหตุจากการขับชนกำแพง เสาไฟ ขอบถนน ราวสะพาน ฯลฯ จนทำให้รถยนต์เกิดร่องรอยความเสียหาย โดยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขับขี่โดยตรง รวมถึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
**การเคลมแห้งแบบมีคู่กรณีที่ไม่ใช่รถยนต์นั้นจะมีในประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น
วิธีการเคลมแห้ง
- ถ่ายรูปเก็บหลักฐาน จดรายละเอียดอุบัติเหตุ ทั้งวันที่ สถานที่ และลักษณะอุบัติเหตุ
- ติดต่อบริษัทประกันเพื่อแจ้งความเสียหาย
- บริษัทประกันจะตรวจสอบเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น รายการซ่อมแซม หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
- ประเมินค่าใช้จ่าย บริษัทประกันจะทำการประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาการชดเชย

ใบขับขี่หมดอายุเคลมประกันได้ไหม?
หากใครกำลังสงสัยว่าหากใบขับขี่หมดอายุแล้วเกิดรถชนขึ้นมา สามารถเคลมประกันได้ไหม วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
1.กรณีเป็นฝ่ายถูก
หากใบขับขี่หมดอายุ คุณจะยังได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันตามปกติ แต่จะต้องเป็นการเลือกทำประกันรถชั้น1 เท่านั้น เพราะจะคุ้มครองในส่วนของคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้
2.กรณีเป็นฝ่ายผิด
จะแบ่งย่อยได้อีก 3 กรณี ดังนี้
- ลืมพกใบขับขี่ ประกันยังคุ้มครองทั้งรถคุณและคู่กรณีเหมือนเดิม
- ใบขับขี่หมดอายุหรือโดนยึด ประกันจะถือว่าคุณยังมีความสามารถในการขับรถถึงแม้ใบขับขี่จะหมดอายุก็ตาม ก็จะให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์อยู่
- ไม่เคยมีใบขับขี่ ประกันจะคุ้มครองแค่คู่กรณีของคุณเท่านั้น ส่วนรถของเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนค่าซ่อมแซมด้วยตัวเอง
สรุปเลยก็คือหากใบขับขี่หมดอายุสามารถเคลมประกันได้แต่ต้องเป็นการเลือกทำรถชั้น 1 เท่านั้น

กฎหมายจราจร 2567 ค่าปรับเท่าไหร่บ้าง ?
กฎหมายค่าปรับจราจรใหม่ หากขับรถผิดกฎจราจร มีโทษอะไรบ้าง
ขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถผ่านทางม้าลายโดยไม่หยุดให้คนข้าม ปรับไม่เกิน 4,000 ( เดิม 1,000 บาท )
ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 ( เดิม 500 บาท )
ขับรถโดยไม่คำนึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น ปรับไม่เกิน 5,000 – 20,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ( เดิม 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )
เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ไม่นั่ง Car Seat ปรับ 2,000 บาท
ขับขี่บนทางเท้า ปรับ 400 – 1,000 บาท และผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
ไม่หยุดรถหลังเส้นหยุดรถบริเวณสัญญาณไฟจราจร ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (โดยไม่มีเครื่องหมายจราจรอนุญาต) ปรับ 400 – 1,000 บาท
ไม่ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดก่อนหรือระหว่างขับขี่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แข่งรถบนถนนสาธารณะ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถเหยียบสุนัข โดนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถเหยียบน้ำกระเด็นใส่ผู้อื่น ปรับสูงสุด 10,000 บาท โทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน
นอกเหนือจากนี้ ยังมีค่าปรับอัตราโทษอื่นๆ อีก สามารถเข้าไปดูได้ที่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13 ) พ.ศ. 2565 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากสายด่วนจราจร 1197

5 ข้อควรระวัง เวลาขับรถตอนฝนตกหนัก
ในช่วงนี้อาจมีฝนตกบ้างในบางวัน แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าช่วงเวลาปกติ ด้วยปัจจัยหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ฝนตกถนนลื่นหรือตกหนักจนไม่สามารถมองเห็นถนน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ไพศาลแคปปิตอลมี 5 ข้อควรระวังมาแนะนำผู้ใช้รถในช่วงหน้าฝนนี้
1.ไม่ควรขับรถเร็วจนเกินไป
ขณะที่ฝนตกอาจทำให้พื้นถนนลื่นและน้ำฝนที่สาดลงมายังกระจกหน้ารถอาจส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองถนนลดลง อาจทำให้ผู้ขับมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางบนถนน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
2.ระวังการเบรก
ไม่ควรเบรกแบบกะทันหันเพราะขณะที่ฝนตกพื้นถนนจะมีความลื่นหรือมีน้ำขังอยู่ที่พื้น อาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่หรือเสียการควบคุมระหว่างเบรกได้
3.เปิดไฟหน้ารถและไฟตัดหมอก
ในขณะที่ฝนตกหนักการเปิดไฟหน้าช่วยให้เรามองเห็นสถานการณ์ด้านหน้าได้ชัดเจนและยังช่วยให้รถที่ขับตามหลังหรือขับสวนมา สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลว่ามีรถขับอยู่
4.ไม่ควรเปลี่ยนเลนกะทันหัน
เพราะหากมีรถขับตามหลังเลนที่เราเปลี่ยนกะทันหันขับตามมาอย่างกระชั้นชิด อาจจะทำให้เบรกไม่ทันจนชนท้ายรถเราได้
5.ประเมินระดับความลึกของน้ำที่ท่วมขังให้ดี
หากบนถนนเกิดน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังให้เราประเมินระดับความลึกของน้ำคร่าวๆก่อนที่จะขับผ่าน หากจำเป็นที่จะต้องขับผ่านน้ำท่วมขังควรปิดระบบแอร์และใช้เกียร์ต่ำ

ทำไม? ต้องติดแถบสะท้อนแสงรถบรรทุก
แถบสะท้อนแสง หรือ สติ้กเกอร์สะท้อนแสง มีไว้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในเวลากลางคืน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลากลางคืนเนื่องจากรถคันอื่นไม่สามารถมองเห็นรถบรรทุกได้อย่างชัดเจน กรมขนส่งทางบกจึงมีมาตรการให้ “รถโดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุก ทุกคัน” ที่ทำการจดทะเบียนใหม่ จำเป็นต้องติดแผ่นสะท้อนแสง ที่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืน โดยต้องติดให้มองเห็นจากระยะไม้น้อยกว่า 150 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2561 เป้นต้นไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นตำแหน่งของรถในเวลากลางคืนเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
แผ่นสะท้อนแสง มีกี่สี สีอะไรบ้างและใช้งานอย่างไร?
แถบสะท้อนมี 3 สี สีแดง สีเหลือง สีขาว
สีแดงและสีเหลือง : สำหรับติดแนวยาวรอบขอบทุกด้านท้ายรถ
สีขาวและสีเหลือง : สำหรับติดแนวยาวขอบด้านข้างรถหรือเพิ่มเติมเฉพาะมุมด้านบนเพื่อแสดงระยะความสูงของรถ
อุปกรณ์สะท้อนแสง
ต้องมีคุณสมบัติที่ทำให้มองเห็นชัดได้ในเวลากลางคืน ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ติดตั้งที่ความสูงจากพื้น 25-90 เซนติเมตร
ด้านท้ายรถ : ใช้อุปกรณ์สะท้อนแสงสีแดง
ด้านข้างรถทั้งสองข้าง : ใช้อุปกรณ์สะท้อนแสงสีเหลืองอำพัน
แผ่นสะท้อนแสง
ต้องมีความกว้างตามมาตรฐานที่ 5-6 เซนติเมตร ติดตั้งที่ตำแหน่งสูงจากพื้น 25-150 เซนติเมตร
ด้านท้ายรถ : ต้องติดตั้งเป็นแนวยาวรอบขอบทุกด้านโดยใช้แผ่นสะท้อนแสงสีแดงหรือสีเหลือง
ด้านข้างรถทั้งสองข้าง : ติดตั้งเป็นแนวยาวเฉพาะขอบด้านล่างและติดตั้งเพิ่มเติมเฉพาะที่มุมด้านบนเพื่อแสดงระยะความสูงของรถหรืออาจติดตั้งเป็นแนวยาวรอบขอบทุกด้านได้เช่นเดียวกัน โดยใช้แผ่นสะท้อนแสงสีขาวหรือสีเหลือง
แนวทางการติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงบนรถบรรทุก
1.เตรียมพื้นผิว
โดยการทำความสะอาดพื้นผิวรถที่จะติดด้วยน้ำยาล้างรถหรือน้ำยาล้างจานที่ไม่มีส่วนผสมของมะนาวจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดน้ำให้แห้งสนิทด้วยผ้า หรือกระดาษทิชชู่ให้ปราศจากคราบน้ำ ฝุ่น ผง หรือสิ่งสกปรก
*ในกรณีพื้นผิวมีสีทาอยู่ อาจต้องขัดสีออกก่อนการติดแผ่นสะท้อนแสง ถ้าหากไม่สามารถขัดชั้นสีออกได้ แผ่นสะท้อนแสงอาจหลุดล่อนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากาการหลุดล่อนของชั้นสี
2.กำหนดบริเวณที่จะติดให้ชัดเจนและวัดความยาวของแผ่นสะท้อนแสงให้พอดี
เนื่องจากแผ่นสะท้อนของแท้จะมีกาวที่มีความเหนียวและการยึดเกาะสูงมาก เมื่อติดแล้วไม่ควรลอกออกแล้วติดซ้ำ เพราะอาจะทำให้สีรถลอกได้ จึงควรขีดตำแหน่งตลอดแนวการติดแผ่นสะท้อนแสงด้วยดินสอ จะป้องกันเรื่องการติดผิดตำแหน่งหรือติดเอียงได้ หลังจากที่ติดเรียบร้อยแล้วให้ตัดมุมที่แผ่นออกเพื่อความสวยงามและป้องกันผ้าเช็ดรถมาเกี่ยวตรงมุมสติ้กเกอร์จนทำให้มุมหักหรือฉีกได้
3.ติดและรีดสติ้กเกอร์
ลอกสติ้กเกอร์สะท้อนแสงที่บริเวณปลายแล้วทาบลงบนตำแหน่งริมสุดที่จะติดตั้ง แล้วดึงสติ้กเกอร์สะท้อนแสงให้ตรงตำแหน่งแล้วลอกออกจากนั้นใช้แผ่นรีดหรือแผ่นอะไรก็ได้ แล้วใช้ผ้านิ่มๆไม่เป็นขุยพันทับแผ่นรีดหลายๆชั้น จากนั้นใช้แผ่นรีดกดทับบนแผ่นสะท้อนแสงให้แนบสนิทกับพื้นผิวเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
แถบสะท้อนแสงต้องติดกับรถอะไรบ้าง
รถบรรทุก / รถพ่วง / รถบรรทุกตู้สินค้า ทุกชนิด
รถเก็บขยะ / รถดับเพลิง
รถบรรทุกรถยนต์
รถแอมบูแลนซ์ ติดที่แถบด้านข้างยาวตามแนวรถ
นอกจากการติดแถบสะท้อนแสงเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุแล้ว ตัวเราเองก็ต้องขับรถอย่างระมัดระวังและมีสติในการขับอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย

กล้องติดรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?
1.ช่วยบันทึกการเดินทาง
กล้องติดรถยนต์จะบันทึกเส้นทางการเดินทางของเราไว้ ซึ่งทำให้เราสามารถย้อนกลับมาดูได้ว่าเราไปที่ไหนมาบ้าง หากเราขับรถหลงทางก็สามารถเปิดภาพย้อนกลับเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้องได้ และกล้องติดรถยนต์จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเดินทาง ตรวจสอบประวัติการเดินทางได้สะดวกขึ้น
2.ใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ถือเป็นเหตุผลหลักในการซื้อกล้องติดรถยนต์ เพราะนอกจากจะบันทึกภาพตลอดการเดินทางของเราแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันขึ้น สามารถใช้ภาพที่บันทึกจากในกล้องเป็นหลักฐานในการสู้คดีหรือเคลมประกันได้
3.ช่วยป้องกันภัยจากแก๊งค์มิจฉาชีพบนท้องถนน
มิจฉาชีพสมัยนี้มักหาวิธีใหม่ๆมาเล่นงานเราอยู่เสมอ เช่นกระโดดตัดหน้ารถ หรือแกล้งขับรถล้มโดยจัดฉากให้เราเป็นผู้ก่อเหตุ หากเราติดกล้องหน้ารถไว้ก็จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้เพราะถ้าหากเราไม่มีกล้องติดรถยนต์เป็นพยานอาจทำให้คนขับต้องรับโทษหรือเสียค่าปรับฐานขับรถโดยประมาทได้
4.ช่วยควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่
ถือว่าเป็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการติดกล้องรถยนต์เพราะทำให้เราสามารถย้อนดูพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองได้ ทำให้เราสามารถปรับปรุงการขับขี่ให้ดีขึ้น และยังทำให้เราสามารถตรวจสอบการขับขี่ ตรวจสอบความเร็วในการขับได้อีกด้วย
5.ช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้
และหากใครยังไม่รู้ การติดกล้องติดรถยนต์ช่วยให้เรามีหลักฐานเพื่อเคลมประกันกับบริษัทประกันภัยได้ง่ายขึ้นและคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้บริษัทประกันภัย 5-10% แก่รถยนต์ที่ติดตั้งกล้องติดรถยนต์อีกด้วย

ฮีทสโตรก อันตรายกว่าที่คิด!
ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ มาทำความรู้จักกับโรคลมแดดหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความร้อนสูงเกิน 40 องศา หรือสูงกว่า อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรืออากาศชื้น
หากมีอาการเป็นฮีทสโตรกจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากได้รับการรักษาล่าช้าความเสียหายจะรุนแรงมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทุพพลภาพในระยะยาวหรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
อาการของฮีทสโตรก
- อุณภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศา หรือสูงกว่า
- มีอาการกระสับกระส่าย ปวดศรีษะและหัวใจเต้นเร็ว อาจมีอาการชักเกร็ง
- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ
- ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง
สาเหตุของอาการฮีทสโตรก
- อยู่ในสถานที่อากาศไม่ถ่ายเทและสภาพอากาศร้อนจัด
- ใช้กำลังหรือออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้อุณภูมิภายในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
- ใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปทำให้อุณภูมิในร่างกายไม่ถ่ายเท
- การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการควบคุมอุณภูมิรวมถึงภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อเติมของเหลวที่สูญเสียไปจากการขับเหงื่อ
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ให้ผู้ป่วยอยู่ในร่มหรือในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ
- ถอดเสื้อผ้าบางส่วนออกเพื่อให้อุณภูมิในร่างกายถ่ายเท
- ทำให้ผู้ป่วยมีอุณภูมิเย็นลงโดยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆวางบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ ขณะรอรถพยาบาล และควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นเพราะอาจทำให้เส้นเลือดในกระเพาะอาหารตีบตัน อาจทำให้เป็นตระคริวที่ท้องได้
แนวทางการป้องกัน
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือเสื้อผ้าบางๆ
- สวมหมวกมีปีกเพื่อป้องกันแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มี SPF50++
- ดื่มน้ำหรือจิบน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้ร่างกายกระหายน้ำ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
- งดออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวรที่ร้อน ชื้น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก
การเตรียมการป้องกันและรับมือกับอากาศร้อนจัดในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เราควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพในช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนจัดนะคะ

จอดรถกลางแดดส่งผลเสียกว่าที่คิด
ร่างกายของมนุษย์เราหากโดนแสงแดดเป็นเวลานานๆความร้อนจากแสงอาทิตย์จะส่งผลเสียต่อผิวหนังเช่นเดียวกับการจอดรถตากแดดเป็นเวลานานๆนั้นทำให้เกิดผลเสียให้กับรถยนต์ของคุณมากกว่าที่คิด เพราะการจอดรถตากแดดไว้นานๆแสงแดดอาจทำให้เกิดคสามร้อนสะสมภายในรถและเกิดปัญหาตามมาดังนี้
1.แอร์ทำงานหนัก
หากจอดรถทิ้งไว้กลางแดดนานๆ ภายในห้องโดยสารจะมีความร้อนสะสม เมื่อเราเปิดแอร์หลังจากสตาร์ทรถจะส่งผลให้แอร์ทำงานหนักมากกว่าปกติ ทำให้ระบบแอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
2.สีรถซีดเร็ว
หากเราจอดรถทิ้งไว้กลางแดดนานๆแสงจากรังสียูวีอาจทำให้ตัวรถยนต์มีสีซีดและจางเร็วขึ้นกว่าเดิม
3.ฟิล์มกรองแสงเสื่อมคุณภาพ
แม้ว่าฟิล์มกรองแสงจะเป็นอุปกรณ์ที่มีความทนทานต่อแสงแดด แต่หากจอดรถตากแดดเป็นเวลานานๆฟิล์มกรองแสงก็สามารถเสื่อมสภาพได้ โดยสังเกตได้จากสีของฟิล์มหากสีฟิล์มเริ่มออกม่วงๆหรือฟิล์มเป็นฟองอากาศและออกเป็นขุยนั่นแสดงถึงการเริ่มเสื่อมสภาพของฟิล์มแล้ว
4.ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ความร้อนที่สะสมภายในตัวห้องโดยสาร ส่งผลทำให้ชิ้นส่วนต่างๆภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คิดโดยเฉพาะชิ้นส่วนที่มีหนังเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น คอนโซล พวงมาลัย เบาะรถ จะแห้งกรอบไวกว่าปกติ
5.อุปกรณ์ที่เป็นยางเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
ความร้อนจากแสงแดดส่งผลให้อุปกรณ์ที่เป็นยาง เช่น ขอบกระจกยางปัดน้ำฝน หรือขอบกระจกรถ เกิดการแข็งกระด้างและเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว
6.แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
พบได้บ่อยในแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นเพราะหากจอดทิ้งไว้ในสถานที่ที่มีการระบายความร้อนของรถไม่ดีพอ จะส่งผลให้แบตเตอรี่ทำงานหนักและเสื่อมสภาพได้รวดเร็ว สังเกตได้จากแบตเตอรี่จะเริ่มบวมและรถสตาร์ทติดยากมากขึ้น
7.ยางเสื่อมสภาพไวขึ้น
ถึงแม้ว่ายางรถยนต์จะทนทานต่อความร้อนและแรงเสียดสูงมาก แต่รู้หรือไม่ การจอดรถตากแดดเป็นประจำมีผลทำให้ผิวยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวยางเปราะและเหนียวขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่ยางจะชำรุดในระหว่างใช้งาน

เช็กใบสั่งจราจรได้ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์
ในปัจจุบันเราสามารถเช็กใบสั่งจราจรได้ผ่านเว็บไซต์ หากใครกลัวตกหล่นไม่ได้จ่ายค่าปรับ สามารถเข้าไปเช็กได้โดยต้องเข้าไปลงทะเบียนก่อนตามขั้นตอนดังนี้
1.เข้าเว็บไซต์ https://ptm.police.go.th/ จากนั้นเลือกเมนุลงทะเบียนใช้งาน
2.กรอกข้อมูลส่วนตัวตามบัตรประชาชนและเลขหลังบัตรหรือ Laser ID จากนั้นคลิกถัดไป
3.เลือกรูปแบบข้อมูลที่ต้องการใช้ลงทะเบียนว่าจะใช้เป็นข้อมูลรถที่เป็นเจ้าของหรือใช้ข้อมูลใบขับขี่ โดยจะเลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นกด ถัดไป
4.กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มให้ครบถ้วน จากนั้นกด ถัดไป
5.ระบบจะแสดงข้อมูลทั้งหมดที่ได้กรอกไว้ ทำการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งแล้วกรอกอีเมลเพื่อใช้ในการลงทะเบียน เมื่อเรียบร้อยแล้วให้กด ถัดไป
6.เข้าไปตรวจสอบอีเมลที่ใช้ยืนยัน จากนั้นนำรหัส 6 หลัก ที่ส่งไปยังอีเมลมาใช้เพื่อยืนยันการสมัคร
7.ตั้งรหัสผ่านตามที่ต้องการ คลิก ลงทะเบียน จากนั้นอ่านเงื่อนไข จากนั้นกดยืนยันเท่านี้ก็เรียบร้อย
8.สามารถเข้าสู่ระบบได้โดยใช้เลขบัตรประชาชนและรหัสผ่านที่ลงทะเบียนไว้ในตอนแรก
หลังจากที่ลงทะเบียนเข้าเว็บไซต์เรียบร้อย เราก็สามารถเข้าใช้งานในเว็บไซต์เพื่อตรวจเช็กใบสั่งจราจรได้ง่ายๆ โดยล็อกอินผ่านเลขบัตรประชาชนและรหัสที่ตั้งไว้ จากนั้นใส่ วัน เดือน ปี ที่ต้องการเช็กว่ามีใบสั่งค้างชำระหรือไม่ กรอกทะเบียนรถ จังหวัด หรือเลขที่ใบสั่ง กดที่ค้นหา หากมีใบสั่งขึ้นมาในระบบแสดงว่ามีใบสั่งค้างชำระแต่ถ้าหากไม่มีการค้างชำระระบบจะแจ้งว่าไม่พบข้อมูลใบสั่งในระบบ
ส่วนการชำระค่าปรับ สามารถชำระได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศหรือจะชำระผ่านธนาคารกรุงไทย,ตู้ ATM กรุงไทย,ผ่านแอพ KrungThai NEXT,ตู้บุญเติม หรือใช้บริการรับชำระผ่านไปรษณีย์ไทยก็ได้ โดยต้องชำระใบสั่งภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ได้ใบสั่งมา

5ข้อดีของการทำประกันรถยนต์
1.ช่วยแบ่งเบาค่าซ่อมรถของเราและคู่กรณี
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากเรามีประกันภัยรถยนต์อย่างน้อยเราอุ่นใจได้ว่าไม่ต้องสำรองเงินจ่ายอย่างแน่นอนเพราะประกันรถยนต์จะช่วยจ่ายค่าซ่อมรถทั้งของเราและคู่กรณี
2.ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล
หากเกิดอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวเราหรือคู่กรณีก็ตาม ประกันจะมีค่ารักษาพยาบาลให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา
3.ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเราสามารถโทรหาประกันเพื่อขอความช่วยเหลือจากประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้หากเกิดอุบัติเหตุยามวิกาลหรือเกิดเหตุในต่างจังหวัด บางกรมธรรม์จะช่วยดูแลจัดสรรที่พักให้กับเราอีกด้วย
4.คุ้มครองเมื่อรถหาย เกิดเหตุไฟไหม้และน้ำท่วม
ประกันชั้น 1,2,2+ จะให้ความคุ้มครองในกรณีที่รถหายหรือเกิดอุบัติเหตุน้ำท่วม เราจะได้รับเงินชดเชยตามความคุ้มครองของแต่ละกรมธรรม์แต่จะไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สิน
5.มีรถให้ใช้ระหว่างรอซ่อม
ถ้าเราทำประกันภัยรถยนต์แล้ว เมื่อรถพังและส่งซ่อมระหว่างที่รอรถซ่อมเสร็จนั้นจะมีรถสำรองให้เราใช้ไปพลางๆก่อน หากไม่สะดวกก็ขอรับเป็นค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันชดเชยได้

รวมรายการลดหย่อนภาษี 2567
การเสียภาษีเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ประจำทุกคนต้องจ่ายในทุกๆปีตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อไม่ให้ตัวเราต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เราจึงควรศึกษาและวางแผนเรื่องภาษีให้ดี มาดูกันกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้
1.ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ปีละ 60,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ทันทีทั้งการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ซึ่งหากยื่นภาษีออนไลน์จะมีรายการลดหย่อนส่วนตัวให้อัติโนมัติ
2.ค่าลดหย่อนคู่สมรสใช้สิทธิลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ในกรณีที่ใช้สิทธิลดหย่อนคู่สมรสต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น (หากสมรสไม่ครบปีหรือคู่สมรสเสียชีวิตก็มีสิทธิหักลดหย่อนภาษีได้) โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้หรือรายได้ในปีนั้นๆ ในกรณีที่สามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ กฎหมายอนุญาตให้ ยื่นภาษีรวมกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้
3.ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย คนละ 30,000 บาท
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายคนละ 30,000 บาท และหากมีบุตรคนที่2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 60,000 บาท สำหรับผู้ที่มีบุตรคุณธรรมหรือมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้สูงสุด 3 คน และจะต้องเป็นบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งกรณีนี้บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี ส่วนบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 21-25 ปี จะต้องอยู่ในระดับปวส. ขึ้นไป และบุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ยกเว้นกรณีที่ได้รับเงินปันผล
4.ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท
โดยบุตรที่เลี้ยงดูพ่อแม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือก็คือพ่อแม่ที่แท้จริง และพ่อแม่ต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ส่วนกรณีที่มีพี่น้องที่มีเงินได้แล้วต้องการใช้สิทธิลดหย่อน ต้องมีการตกลงกันอย่างชัดเจนก่อนว่าใครจะใช้สิทธิตรงนี้ เพราะว่าตามกฎหมายให้ใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำกันได้ ส่วนใครที่ใช้สิทธิลดหย่อนบิดามารดา จะต้องทำหนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อน หรือ ลย.03 ประกอบกัน
5.ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ ใช้สิทธิได้คนละ 60,000 บาท
หากเป็นผู้อุปการะหรือว่าดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท แต่เงื่อนไขคือจะต้องมีหลักฐานในการยื่นประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น บัตรประจำตัวผู้พิการ หรือใบรับรองแพทย์และใบ ลย.04
6.ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ในกรณีที่มีการฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งกรณีที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายแล้วให้เป็นของภรรยา แต่ถ้ากรณีที่ภรรยาไม่มีรายได้ สามีจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตรงนี้แทนได้ ซึ่งจะต้องยื่นควบคู่กับใบเสร็จและใบรับรองแพทย์
7.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน
- ประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
- ประกันชีวิตทั่วไป + สะสมทรัพย์ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสังคม 9,000 บาท
- ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
- กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ 30% แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ 30% ไม่เกิน 200,000 บาท และหากรวมกับกองทุนอื่นๆต้องไม่เกิน 500,000 บาท
8.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
8.1 โครงการช้อปดีมีคืน
สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่เงื่อนไขคือต้องไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งสิทธิลดหย่อนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มสินค้าหรือบริการ 30,000 บาทแรก สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเป็นหลักฐานและค่าสินค้าหรือบริการ 10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
หมายเหตุ : ผู้ที่ถือสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากโครงการช้อปดีมีคืนได้
8.2ลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยบ้าน
หากใครที่ซื้อบ้านหรือคอนโด สามารถนำดอกเบี้ยที่ได้จากการซื้อที่อยู่อาศัย มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องยื่นร่วมกับเอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ออกให้ส่วนกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเฉลี่ยตามจำนวนผู้ร่วมกู้
9.การบริจาคเพื่อลดหย่อยภาษี
เงินบริจาคลดหย่อนภาษี ประกอบไปด้วย
- บริจาคพรรคการเมือง 10,000 บาท
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา สนับสนุนกีฬา พัฒนาสังคมต่างๆ มูลนิธิด้านสาธารณะสุข และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่า ของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคอื่นๆ มูลนิธิและองค์กรณ์สาธารณกุศล ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

เติมน้ำมันผิด แก้ไขอย่างไร?
ปัญหาการเติมน้ำมันผิดมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับหลายคน อาจด้วยความเคยชินจากรถคันเดิมหรือมีรถยนต์หลายคัน ทำให้เกิดความสับสนจนบอกชื่อน้ำมันที่จะเติมผิด วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาบอกวิธีป้องกันและแนวทางการแก้ไขให้ทุกท่านได้อ่านไว้ เผื่อในกรณีที่เกิดปัญหานี้ขึ้นมาจริงๆจะได้แก้ไขอย่างถูกต้อง
เติมน้ำมันผิดจะเกิดอะไรขึ้น?
ผลที่ตามมาคือหัวเทียน ไส้กรอง และระบบเครื่องยนต์เสียหาย หากสตาร์ทรถเครื่องยนต์อาจสะดุดและเครื่องดับไปในที่สุดหรืออาจสตาร์ทไม่ติดเลยเนื่องจากการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินและดีเซลนั้นไม่เท่ากัน เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภทจึงทำให้การเผาไหม้เครื่องยนต์สะดุดและไม่สามารถทำงานต่อได้
วิธีแก้ไขเมื่อรู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแต่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องและยังอยู่ที่ปั้ม
ถ้ายังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ถ่ายน้ำมันที่อยู่ในถังออกให้หมดและไล่ระบบใหม่ เมื่อถ่ายน้ำมันออกหมดแล้วให้เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่ สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ซักพักและสังเกตดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทดสอบอีกครั้งด้วยการเร่งเครื่องพร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะขับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
วิธีแก้ไขเมื่อไม่รู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดแล้วรถดับกลางทางขณะวิ่งอยู่บนถนน
ก่อนอื่นเลยถ่ายน้ำมันในถังออกให้หมด ไล่ระบบน้ำมันใหม่ เติมน้ำมันที่ถูกต้องเข้าไปใหม่และไล่ระบบน้ำมันอีกครั้ง สำหรับรถที่ใช้เบนซินให้ถอดหัวเทียนออกมาทำความสะอาดใหม่ ส่วนรถที่ใช้ดีเซลให้ถอดเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ หลังจากนั้นพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด ขณะสตาร์ทจะมีอาการติดยากหรืออาจติดแล้วดับ ให้สตาร์ทต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะติด จากนั้นปล่อยให้รถเดินเครื่องเองซักพัก เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบร้อยให้ลองเร่งเครื่อง พร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นต่างๆที่ต้องใช้ขณะชับใช้งาน หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นแปลว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเสร็จสิ้นไม่มีปัญหา
ปัญหาเรื่องการเติมน้ำมันผิดประเภทสามารถเกิดขึ้นได้จากตัวเราและพนักงานปั้ม ดังนั้นก่อนเติมน้ำมันทุกครั้งต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าจะเติมน้ำมันประเภทไหน เพื่อป้องการเติมน้ำมันผิดประเภท

เช็คระยะรถตามกำหนดดีอย่างไร?
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการเช็คระยะมีความจำเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องเช็ค?
เช็คระยะรถยนต์คืออะไร
การเช็คระยะรถยนต์คือการตรวจสอบสภาพรถยนต์ เพื่อช่วยบำรุงรักษา ชะลอความเสื่อมเครื่องยนต์หรือองค์ประกอบภายในเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากถามว่าการเช็คระยะรถจำเป็นไหม ก็ต้องบอกเลยว่าจำเป็นเพราะการไม่ตรวจเช็คระยะรถอาจส่งผลเสียต่อรถยนต์ เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า รถยนต์ผิดปกติตรงไหนบ้าง ดังนั้นควรส่งรถเข้าศูนย์เพื่อเช็คระยะรถยนต์ทุกครั้งเมื่อครบกำหนด
สำหรับช่วงเวลาที่ต้องนำรถเข้าไปเช็คระยะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.นับจากระยะเวลา (เริ่มตั้งแต่วันออกรถ)
2.ดูจากระยะทาง (เลขไมล์ที่ใช้งานไป)
ตรวจเช็คในระยะ 1-6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- ยางรถยนต์และการตั้งศูนย์ล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- จานเบรกและผ้าเบรกหน้า ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะ 6-12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบคลัช พร้อมตรวจดการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันคลัช ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- การสลับยาง การถ่วงล้อ ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ที่ปัดน้ำฝนและที่ฉีดน้ำยาล้างกระจก ต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบจานเบรคและผ้าเบรคหลัง พร้อมตรวจดูการรั่วซึมของท่อและสายน้ำมันเบรก จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- ระบบช่วงล่าง ควรอุดจาระบี ในระยะเวลา 6 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- โช๊คอัพ หน้า-หลัง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์และไส้กรอง จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12 เดือน หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ล้างเครื่อง จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเกียร์ ระบบธรรมดา จะต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- สายพานขับและสายพานเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบบังคับเลี้ยว สายพานพวงมาลัยพาวเวอร์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- ระบบคันชักคันส่ง ลูกหมาก ยางกันฝุ่น จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเบรก น้ำมันคลัช น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันเกียร์ออโต้ น้ำมันหล่อเย็นเครื่องยนต์ จะต้องตรวจเช็คในระยะเวลา 12-24 เดือน หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร
ข้อดีของการเช็คระยะรถยนต์
การนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนดที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยยืดอายุการทำงานของรถยนต์ เนื่องจากการใช้งานรถทุกวันทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ ดังนั้นการตรวจเช็คจะทำให้เรารู้ว่าช่วงไหนของรถที่เริ่มเสื่อมและทำการเปลี่ยนอะไหล่หรือการซ่อมบำรุง

สิ่งที่ไม่ควรทำขณะเติมน้ำมันที่หลายคนมองข้าม
วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาย้ำเตือนว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ควรทำขณะเติมน้ำมันรถพร้อมสาเหตุที่ไม่ควรทำ
1.สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ใกล้กับบริเวณพื้นที่จ่ายน้ำมัน ไฟจากบุหรี่อาจทำปฏิกิริยากับไอน้ำมันที่มองไม่เห็นอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
2.ไม่ดับเครื่องยนต์
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนในประเทศไทยทำให้แรงดันในถังที่พ่นไอระเหยจากน้ำมันอาจก่อให้เกิดไฟลุกไหม้ได้
3.ใช้โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์และสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้ทำให้เกิดไฟไหม้แต่สัญญาณของมันเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสถิตมากขึ้นจนกลายเป็นเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอันตราย ซึ่งไฟฟ้าสถิตนั้นจริงๆแล้วมีอยู่รอบตัวเราและถูกเหนี่ยวนำผ่านอากาศ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นตัวเพิ่มโอกาสเหนี่ยวนำที่จะทำให้ตัวคุณมีไฟฟ้าสถิตเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง หากอยู่ในช่วงที่อากาศแห้งก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดไฟฟ้าสถิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน
4.เติมน้ำมันในถังพลาสติก
ถังพลาสติกอาจเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ที่มองไม่เห็น ซึ่งจะก่อให้เกิดเพลิงลุกไหม้ได้
หากเจ้าของรถรวมถึงผู้ที่เข้ามาใช้บริการในปั้มน้ำมันทุกคนไม่ประมาทและช่วยกันปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ได้ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอย่างแน่นอน

ซื้อประกันแบบไหนได้ลดหย่อนภาษีเท่าไหร่?
ประกันชีวิตแบบทั่วไป
ประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป และถ้ามีเงินคืนระหว่างสัญญาเงินคืนต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม สามารถนำเบี้ยไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งประกันชีวิตทั่วไป มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ แบบตลอดชีพ แบบชั่วระยะเวลา แบบสะสมทรัพย์ และแบบควบการลงทุน
ประกันสุขภาพ
เราสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท และรวมกับประกันชีวิตทั่วไปแล้วไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสุขภาพคือประกันที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง หรือ ประกันภัยการดูแลระยะยาว
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
ใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงต้องไม่เกิน 15% ของรายได้ไม่เกิน 200,000 บาท และอาจลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ถ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไป เช่น ถ้าเรามีรายได้ 1,000,000 บาท ซื้อประกันบำนาญไป 200,000 บาท และประกันชีวิตทั่วไป 100,000 บาท เราจะสามารถนำมาลดหย่อนในส่วนประกันบำนาญได้แค่ 150,000 บาท เท่านั้น เพราะคิดเป็น 15% ของรายได้
การกรอกเวลายื่นภาษี
1.กรอกเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
2.กรอกเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ตามที่จ่ายจริงและเมื่อรวมกับประกันสุขภาพแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
3.กรอกเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หากเราใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปไม่เต็มสิทธิให้กรอกประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 บาท ก่อนแล้วค่อยกรอกประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 บาท ก่อนค่อยมากรอกประกันชีวิตแบบบำนาญ
เช่น ถ้าเรามีประกันสุขภาพ 10,000 บาท ประกันชีวิตทั่วไป 50,000 บาท ประกันบำนาญ 100,000 บาท
เวลากรอกยื่นภาษี คือ
- กรอกประกันสุขภาพ 10,000 บาท
- กรอกช่องประกันชีวิตทั่วไป 90,000 บาท (รวมกับประกันสุขภาพจะเป็น 100,000 บาท )
- .ใส่ช่องประกันบำนาญ 60,000 บาท (เพราะใส่ช่องประกันทั่วไปแล้ว 40,000 บาท )
**ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ผู้กู้ร่วมกับคนค้ำประกันต่างกันอย่างไร?
ผู้กู้ร่วม
คือการทำสัญญายื่นกู้สินเชื่อก้อนเดียวกัน ภายใต้สัญญากู้เดียวกันและมีหน้าที่รับผิดชอบหรือรับภาระหนี้ร่วมกัน โดยผู้กู้ร่วมจะมีหนี้สินคนละครึ่ง หากผู้กู้คนใดคนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผู้กู้ร่วมคนอื่นๆต้องรับผิดชอบหนี้ที่ค้างอยู่แทน ซึ่งบุคคลที่จะเป็นผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือพี่น้องทางสายเลือดเท่านั้น โดยธนาคารหรือสถาบันทางการเงินจะนำข้อมูลของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมมาพิจารณาในการขออนุมัติสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ต่อเดือน ภาระหนี้สิน ความสามารถในการชำระหนี้ ประวัติทางการเงิน เป็นต้น
ผู้ค้ำประกัน
คือการหาบุคคลมาค้ำประกันเพื่อเข้ามามีสัญญาทางกฎหมายกับเจ้าหนี้ โดยในการทำสัญญาค้ำประกันจะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ ในกรณที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินสามารถไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกันเพื่อให้ชำระหนี้แทนได้ ตามกฏหมายกำหนดให้เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกผิดนัด
ข้อแตกต่างระหว่างผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกัน
ผู้กู้ร่วม
- การทำสัญญายื่นกู้ก้อนเดียวกันภายใต้สัญญาเดียวกัน
- มีความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือเครือญาติ
- ธนาคารดูรายได้ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมในการอนุมัติสินเชื่อ
- มีหน้าในการผ่อนเช่นเดียวกับผู้กู้หลัก
- สามารถนำดอกเบี้ยไปลดหย่อยภาษีได้
ผู้ค้ำประกัน
- การหาบุคคลมาค้ำประกันเพื่อเข้ามามีสัญญาทางกฎหมายกับเจ้าหนี้
- ผู้ค้ำประกันเป็นใครก็ได้
- ธนาคารจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ค้ำประกันในการอนุมัติ
- ไม่มีหน้าที่ในการผ่อนแต่ต้องรับผิดชอบหากผู้กู้หลักผิดสัญญากับธนาคาร
- นำดอกเบี้ยไปลดหย่อนภาษีไม่ได้

แอร์รถเหม็นอับ เกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไร?
สาเหตุที่ทำให้แอร์รถยนต์มีกลิ่นอับ
- มีน้ำหรือความชื้นสะสมอยู่ในคอยล์เย็น จนเกิดเชื้อรา
- ช่องแอร์เกิดการหมักหมมCA
- ที่กรองแอร์มีสิ่งสกปรกเข้ามาอุดตัน
วิธีแก้ไขอาการแอร์รถยนต์มีกลิ่น
1.เปิดพัดลมไล่ความชื้น
ให้เราปิดปุ่มแอร์ (A/C) จากนั้นเปิดพัดลมให้แรงที่สุด เพื่อไล่ความชื้นออกจากออกจากคอยล์เย็นและลดกลิ่นอับ ใช้เวลาเป่าลมประมาณ 5 นาที จะช่วยลดกลิ่นอับได้ดีขึ้น
2.เปิดแอร์ในระดับที่พอดี
ควรเปิดแอร์ในระดับที่เย็นพอดี ถ้าเปิดแอร์เย็นจนเกินไปอาจทำให้เกิดความชื้นสะสมภายในวงจรปรับอากาศได้และไม่ควรปิดหน้ากากแอร์เพราะจะทำให้ภายในวงจรปรับอากาศมีอุณภูมิต่ำและทำให้เกิดความชื้นได้
3.ใช้แสงแดดไล่ความชื้น
เป็นวิธีที่หลายๆคนเลือกใช้กัน โดยเปิดประตูรถยนต์ทุกบาน เพื่อให้แสงแดดไล่ความชื้นรวมถึงกลิ่นอับออก
4.ถอดกรองแอร์มาล้าง
หากไม่ได้ถอดกรองแอร์มาล้างนานๆ พวกเศษสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่มากอาจเป็นผลทำให้ส่งกลิ่นอับทำให้ภายในรถมีกลิ่นเหม็น ดังนั้นควรถอดกรองแอร์ออกมาล้างแล้วใส่กลับเข้าที่เดิม ถือว่าเป็นการทำความสะอาดแอร์ไปในตัว
5.น้ำส้มสายชูช่วยลดกลิ่นอับได้
ถ้าหากภายในรถยังมีกลิ่นอับอยู่ ให้นำน้ำส้มสายชูเทใส่แก้วแล้วนำไปวางไว้ในรถประมาณ 1-2 ชั่วโมง กลิ่นของน้ำส้สายชูจะช่วยดับกลิ่นภายในรถได้
6.ใช้สเปรย์ดับกลิ่นอับภายในรถยนต์
ปัจจุบันจะมีสเปรย์ปรับอากาศและดับกลิ่นแบบ 2 in 1 ให้ฉีดสเปรย์ไปในจุดที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เพื่อขจัดกลิ่นอับ
7.ล้างแอร์
หากทำทุกวิธีแล้วแต่กลิ่นอับในแอร์รถยนต์ไม่หายไป เป็นสัญญาณให้เราต้องล้างแอร์รถยนต์โดยนำรถเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างล้างแอร์ให้สะอาดเพื่อขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2567
สำหรับการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบ ภ.ง.ด.90/91
1.เข้าไปที่เว็บไซต์ของ กรมสรรพากร : https://efiling.rd.go.th/rd-cms/
จากนั้นกดไปที่ “ยื่นแบบออนไลน์”
2.ระบบจะนำท่านไปหน้าเข้าสู่ระบบ หลังจากนั้นให้กรอก เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร หรือชื่อผู้ใช้งาน แต่ถ้าหากยื่นครั้งแรกให้กด “สมัครสมาชิก” แล้วทำตามขั้นตอน และยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP ผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้
3.กดยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 โดย ภ.ง.ด.90 คือ ผู้ทื่มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับ เช่น ขายของออนไลน์ ส่วน ภ.ง.ด.91 คือ คนที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีรายได้เสริมจากช่องทางอื่น
4.ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัว
ระบบจะแสดงข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด สถานที่ติดต่อ ร้านค้า/กิจการส่วนตัว (ถ้ามี) ให้ทำการตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นระบุ สถานะของตนเอง โสด สมรส หม้าย หย่าร้าง
ระบุแหล่งที่มาของรายได้
- ระบบจะแสดงหน้ารายได้ต่างๆ โดยแยกตามแหล่งที่มาของรายได้ เช่น รายได้จากเงินเดือน , รายได้จากฟรีแลนซ์ , รายได้จากทรัพสินย์ , รายได้จากการลงทุน และรายได้จากมรดกหรือที่ได้รับมา
ในส่วนขั้นตอนนี้ หากเป็นพนักงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือน ให้เลือกรายได้จากเงินเดือน คลิกที่ “ระบุข้อมูลช่อง40(1)” จากนั้นระบบจะให้กรอกข้อมูลดังนี้
- รายได้ทั้งหมด ให้รวมรายได้จากทุกนายจ้าง จากทุกบริษัทที่เข้าทำงานตลอดปี 2566 แล้วกรอกเลขเดียว
- หักภาษี ณ ที่จ่าย ให้รวมภาษีที่นายจ้างแต่ละที่หัก แล้วกรอกเลขเดียว
- เลขผู้จ่ายเงินได้ คือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของนายจ้าง หากรับเงินจากหลายนายจ้าง ให้กรอกเลขของนายจ้างที่จ่ายให้เรามากที่สุด
- เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว คลิกไปที่ “บันทึก”
หากมีรายได้อื่นๆให้กรอกไล่ไปทีละข้อ โดยเราควรคำนวณตัวเลขให้พร้อม ก่อนเริ่มยื่นภาษีออนไลน์ เมื่อบันทึกรายได้แต่ละข้อเสร็จ ระบบของสรรพากรจะพากลับไปที่หน้ารายได้เหมือนเดิม ขั้นตอนนี้แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
5.การกรอกข้อมูลค่าลดหย่อยภาษี ซึ่งค่าลดหย่อนภาษีของปี 2566 แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนภาษีบุตร 30,000 บาท ( เพิ่มอีก 30,000บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป )
ประเภทที่ 2 ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน และการลงทุน
- ลดหย่อนเงินประกันสังคมไม่เกิน 9,000 บาท
- ลดหย่อนประกันสุขภาพบิดามารดา ไม่เกิน 15,000 บาท
- ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน RMF ไม่เกิน 500,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน SSF ไม่เกิน 200,000 บาท
**ค่าลดหย่อนกองทุน RMF และ SSF รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
ประเภทที่ 3 ค่าลดหย่อนภาษีเงินบริจาค
- ลดหย่อนเงินบริจาคทั่วไป ไม่เกิน 10% ของเงินได้
- ลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา และการบริจาคสาธารณะ 2 เท่าของเงินบริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้
- ลดหย่อนเงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000บาท
ประเภทที่ 4 ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
- ลดหย่อนโครงการช้อปดีมีคืน ไม่เกิน 40,000 บาท
- ลดหย่อนดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท
ระบบจะดำเนินการคำนวณค่าใช้จ่ายและลดหย่อนภาษี ออกมาเป็น ”เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะถูกนำไปคำนวณภาษี
ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดและกดยืนยันการยื่นแบบ แต่ต้องอัพโหลดเอกสารค่าลดหย่อนอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพื่อความรวดเร็วในการขอคืนภาษี

รวมศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์
กรมธรรม์ (Policy)
หมายถึง หนังสือสัญญาข้อตกลงของผู้เอาประกันภัย ที่ออกโดยบริษัทประกัน เพื่อใช้ในการแสดงข้อตกลง เงื่อนไขและความคุ้มครองตามสัญญา โดยภายในเอกสารกรมธรรม์จะประกอบไปด้วยรายละเอียดมากมายระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย
ทุนประกัน (Sum Insured)
คือวงเงินสูงสุดที่บริษัทประกันภัยที่ต้องชดใช้ให้กับผู้ทำประกันภัยรถยนต์ ในกรณีที่มีการเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
เบี้ยประกัน (Premium)
คือจำนวนเงินที่ผู้ทำประกันรถต้องจ่ายให้แก่บริษัทประกันเพื่อรับความคุ้มครองต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ หากมีการค้างชำระเบี้ยประกันหรือไม่ได้จ่ายเบี้ยประกัน อาจมีผลทำให้กรมธรรม์ถูกยกเลิกและไม่คุ้มครองอีกต่อไป
ค่าสินไหมทดแทน (Claim Amount)
คือค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ทำประกันรถที่เรียกร้องจากบริษัทประกันให้รับผิดชอบ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์และเป็นค่าเสียหายตามจริงเท่านั้น
ผู้เอาประกัน (The Insured)
หมายถึง ผู้ที่ทำประกันรถ ซึ่งมีหน้าที่จ่ายค่าเบี้ยประกันให้กับบริษัทประกัน เพื่อรับความคุ้มครองจากบริษัทประกัน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นทางผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องสิทธิ์และค่าสินไหมทดแทนในส่วนอื่นๆจากบริษัทประกันได้ แต่ต้องไม่เกินจากที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ที่ทำ รวมถึงต้องเป็นไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ผู้รับประกัน (The Insurer)
คือ บริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดยผู้รับประกันจะมีสิทธิ์รับค่าเบี้ยประกันและพิจารณารับประกันภัย รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งในส่วนของการชดใช้จากบริษัทประกันนั้น จะชดใช้เป็นเงินสดหรือการซ่อมรวมไปถึงการหาของชิ้นใหม่มาแทนที่ของเดิม
ผู้รับประโยชน์ (The Beneficiary)
คือ บุคคลภายนอกกรมธรรม์ที่มีสิทธิ์ได้รับค่าชดใช้จากบริษัทประกันในกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหาย ซึ่งปกติแล้วผู้รับประโยชน์จะเป็นชื่อเดียวกับผู้ที่เอาประกันรถ แต่ก็สามารถให้ผู้อื่นที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้รับได้เช่นกัน
วินาศภัย
หมายถึง ความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้นและสามารถประเมินเป็นจำนวนเงินได้ รวมไปถึงความสูญเสียในสิทธิหรือผลประโยชน์อีกด้วย
ประกันรถยนต์ภาคบังคับ / ภาคสมัครใจ
ประกันรถยนต์ภาคบังคับหรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อของพ.ร.บ.จะดูแลเฉพาะตัวผู้ขับขี่และคู่กรณีเท่านั้น และหากต้องการดูแลประกันรถยนต์เพิ่มเติม ยังสามารถเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้อีกด้วย หรือที่เราเรียกกันว่าประกันชั้น 1,2,3 ความคุ้มครองต่างๆจะขึ้นอยู่กับแผนประกันที่ท่านเลือก

ประกันรถยนต์แต่ละชั้นมีความคุ้มอย่างไรบ้าง?
สำหรับท่านใดที่กำลังสนใจจะทำประกันรถยนต์แต่ไม่รู้ว่าจะทำประกันรถยนต์ประเภทไหนดี วันนี้ไพศาลแคปปิตอลสรุปความคุ้มครองของประกันแต่ละประเภทมาให้ทุกท่านแล้วค่ะ
1.ประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นเหตุที่มีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม โดยให้ความคุ้มครองคร่าวๆดังนี้ ความเสียหายต่อตัวรถ การถูกโจรกรรม ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมให้บริการรถยกตลอด24ชั่วโมง ที่สำคัญยังคุ้มครองไปถึงตัวบุคคลอย่างผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่ว่าจะค่าประกันตัว ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้แต่อุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันชั้น1 ก็สามารถเข้ามาช่วยจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างครอบคลุม ซึ่งประกันชั้น 1 ถือว่าเป็นประกันที่คุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด แต่เบี้ยจ่ายรายปีก็สูงเช่นกัน
2.ประกันรถยนต์ชั้น 2
ประกันรถยนต์ชั้น 2 จะให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยจะช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี หากเกิดเหตุรถชน ทางคู่กรณีจะได้รับการซ่อมจากประกันชั้น 2 ที่เราทำอยู่ ส่วนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเรา เราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นเอง นอกเหนือจากนั้นยังให้ความคุ้มครองในเรื่องการถูกโจรกรรมรถ ไฟไหม้รถยนต์ของผู้ทำประกัน ค่าประกันตัวและค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกด้วย
3.ประกันรถยนต์ชั้น 2+
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ถือว่าเป็นประกันที่น่าสนใจเพราะให้ความคุ้มครองแทบจะไม่ต่างกับประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่จ่ายเบี้ยต่อปีถูกกว่า ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ การถูกโจรกรรม และให้บริการรถยกเมื่อเกิดอุบัติเหตุตลอด 24 ชั่วโมง จะแตกต่างเพียงแค่ประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะคุ้มครองแบบที่มีคู่กรณีที่รถชนรถเท่านั้น หากชนต้นไม้ ชนสิ่งของข้างทางจะไม่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งจะต่างกับประกันชั้น 1 ที่จะคุ้มครองทั้งแบบที่มีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี
4.ประกันรถยนต์ชั้น 3+
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 2+ คือให้ความคุ้มครองคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินของคู่กรณี หากเราไปชนรถคันอื่น ประกันจะชดเชยค่าซ่อมรถให้แก่คู่กรณีตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์และคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย ของคู่กรณี จากการบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุ รวมถึงกรณีเสียชีวิต แต่จะต่างกันตรงที่ ประกัน 3+ จะไม่คุ้มครองในกรณีรถหาย ไฟไหม้รถ
5.ประกันรถยนต์ชั้น 3
ประกันรถยนต์ชั้น 3 จะให้ความคุ้มครองน้อยที่สุด เพราะจะซ่อมเฉพาะรถของคู่กรณี ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายต่อรถยนต์เรา และไม่ครอบคลุมกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรืออุบัติภัยทางธรรมชาติ แต่ยังคงให้ความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลและเงินชดเชยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
6.ประกันรถยนต์ชั้น 4
ประกันรถยนต์ชั้น 4 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ย โดยประกันชั้น 4 จะให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อทรัพย์สินเท่านั้น จะไม่คุ้มครองการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต่อบุคคลภายนอก หากความเสียหายจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตเกินจำนวนเงินประกันภัย ผู้ขับต้องจ่ายเงินส่วนต่างด้วยตนเอง ซึ่งจะแตกต่างกับประกันชั้น 3 ที่จะให้ความคุ้มครองในส่วนนี้อยู่
หากท่านใดกำลังสนใจที่จะรีไฟแนนซ์รถบรรทุกหรือมีความต้องการที่อยากจะย้ายจากไฟแนนซ์ที่เดิมมายังที่ใหม่ สามารถเลือกใช้บริการรีไฟแนนซ์กับไพศาลแคปปิตอล เพราะเราให้บริการแบบครบวงจร
ไม่ว่าจะเป็น การจัดไฟแนนซ์ รีไฟแนนซ์ หรือ ย้ายไฟแนนซ์ ทางไพศาลแคปปิตอลมีพนักงานคอยแนะนำข้อมูลให้แก่ลูกค้าทุกท่าน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 092-9217999 หรือ LINE @Paisancapital

How to ไม่อยากโดนยึดรถ ไม่อยากติดแบล็กลิสต์ ทำไงดี?
หากคุณเริ่มการเงินติดขัดส่งค่างวดรถล่าช้าและเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าผ่อนต่อไม่ไหว รถโดนยึดแน่ๆ ไม่อยากติดแบล็กลิสต์ด้วย ทำไงดี? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลจะมาแชร์วิธีการยอดนิยมที่หลายๆคนใช้ในปัจจุบันมาให้ทุกท่านได้อ่านและใช้เป็นแนวทางกันค่ะ
1.เจรจากับทางไฟแนนซ์
ให้ติดต่อกับไฟแนนซ์ดูก่อนเพื่อขอแนวทางในการช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่บริษัทไฟแนนซ์จะมีมาตรการรองรับลูกค้าที่ประสบปัญหาการชำระที่แตกต่างกันออกไป เช่น พักชำระค่างวดไว้ชั่วคราวและชำระเฉพาะดอกเบี้ย โดยเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ทางที่ดีควรติดต่อขอรับข้อมูลกับไฟแนนซ์ที่ใช้บริการโดยตรง เพื่อดูว่ามีทางออกให้อย่างไรบ้าง
2.รีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์ถือว่าเป็นวิธีการยอดนิยมที่คนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เพราะการรีไฟแนนซ์ช่วยลดภาระทางการเงินได้ดี ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระให้นานขึ้น ทำให้ค่างวดที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนถูกลง ช่วยลดภาระทางการเงินได้ดี ทำให้เราสามารถบริหารเงินในแต่ละเดือนได้ง่ายขึ้น
3.เปลี่ยนสัญญา - ขายดาวน์
หากรู้สึกว่าผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว การขายต่อให้ผู้อื่นก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่ดี โดยคุณสามารถเปลี่ยนสัญญาไปให้ผู้อื่นผ่อนต่อได้ในอัตราดอกเบี้ยเดิม ซึ่งเงินที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับราคาตลาด ณ ตอนนั้น แม้ราคาจะขาดทุนไปบ้าง แต่ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้แลกกับการที่คุณจะไม่เสียประวัติทางการเงิน วิธีนี้ถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินและคุณอาจจะได้รับเงินก้อนคืนมาส่วนหนึ่งด้วยหากรถของคุณมีมูลค่าสูงกว่านี้ สำคัญที่สุดคือ ห้ามนำรถไปขายต่อให้ผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนสัญญาณเป็นอันขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะถูกเบี้ยวค่างวดและเชิดรถหนี สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเองอยู่ดี

รถบรรทุกแบบไหนตอบโจทย์ธุรกิจคุณ
1.ธุรกิจการเกษตร
สำหรับธุรกิจการเกษตรการเลือกรถบรรทุกที่เหมาะกับธุรกิจต้องคำนึงถึงปริมาณของผลผลิตที่เก็บได้ในแต่ละรอบว่ามีประมาณมากน้อยแค่ไหน หากขนส่งไม่เยอะสามารถใช้รถ 4 ล้อ คอกคลุมผ้าใบได้ แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่มากกว่า 15 ตัน ควรใช้รถบรรทุก 6 ล้อในการขน
2.ธุรกิจขนส่งวัสดุก่อสร้าง
ถ้าต้องขนพวกท่อพีวีซี ท่อซีเมนต์ ขนอิฐมวลเบา ขนถังน้ำ อาจเลือกใช้เป็นรถ 4 ล้อใหญ่ ที่รับน้ำหนักได้ประมาณ9.5ตัน พร้อมคอกกั้นรอบด้าน
หากต้องขนสินค้าจำพวกสุขภัณฑ์ หรือพวกเซรามิก ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการส่ง ควรเลือกใช้เป็นรถ 6 ล้อ ที่มีประตูปิดทึบ เพื่อที่จะทำให้การขนส่งสินค้าไปยังต่างจังหวัดมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
หากต้องขนวัสดุก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแผ่น หรือถูกแพครวมพาเลตมา เช่น กระเบื้องหลังคาคอนกรีต กระเบื้องปูพื้น พื้นซีเมนต์สำเร็จรูป ไม้ฝาเฌอร่า ควรใช้รถ 10 ล้อพื้นเรียบ
สำหรับการขนสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ถังเก็บน้ำ ถังบำบัด แทงก์น้ำ ระแนงรั้ว หรือคอนกรีตที่มีน้ำหนักมาก ควรใช้รถ 12 ล้อในการขนส่ง เพราะสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 30 ตัน
3.ธุรกิจก่อสร้างถมที่ ขนหินดินทราย
ควรเลือกใช้รถบรรทุก 6 ล้อ หรือรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป
4.ธุรกิจรถแห่
ในปัจจุบันธุรกิจรถแห่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งรถบรรทุกที่นิยมใช้ทำรถแห่ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป เพราะจะมีพื้นที่กว้าง ทำให้วางเครื่องดนตรีได้เยอะ มีพื้นที่ให้นักร้องยืนประจำอยู่บนรถ แต่เจ้าของรถอาจจะต้องแจ้งกรมการขนส่งเกี่ยวกับการจดทะเบียนและการดัดแปลงรถด้วย
5.ธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
ในกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า มักจะใช้รถลากตู้คอนเทนเนอร์หรือเรียกอีกชื่อคือ”รถหัวลาก”จะมีลักษณะเป็นรถทีมีตู้อยู่ด้านหลัง ซึ่งรถประเภทนี้จะใช้นำสินค้าที่มาจากต่างประเทศไปจากท่าเรือเพื่อส่งต่อ เนื่องจากรถตู้คอนเทนเนอร์สามารถขนย้ายสินค้าได้จำนวนมาก จึงเป็นที่นิยมในธุรกิจนี้

พ.ร.บ.คืออะไร?
1.พ.ร.บ. รถคืออะไร
พ.ร.บ.รถ หรือ ประกันพ.ร.บ. คือประกันภัยรถภาคบังคับ ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถที่รถทุกคันจำเป็นต้องซื้อติดรถไว้ เพื่อใช้เป็นหลักประกันในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุทางรถ ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุทางรถ โดยไม่สนใจว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก หากเกิดความเสียหายขึ้น ผู้เสียหายจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายที่กำหนดไว้ โดยพ.ร.บ.จะมีอายุ 1 ปี ซึ่งเราจำเป็นต้องต่อทุกปี เพราะหากไม่ต่อพ.ร.บ.ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองหากเกิดอุบัติขึ้นและไม่สามารถต่อภาษีรถได้อีกด้วย
2.พ.ร.บ.กับภาษีรถเหมือนกันไหม?
พ.ร.บ.กับภาษีรถ ไม่เหมือนกัน โดยพ.ร.บ.คือการทำประกันภัยภาคบังคับ เพื่อคุ้มครองในกรณที่เกิดอุบัติเหตุทางรถ ในขณะที่ภาษีรถยนต์ คือ การต่อทะเบียนรถประจำปี โดยภาษีที่จ่ายไปจะนำไปพัฒนาระบบคมนาคมให้ดียิ่งขึ้น หลายคนมักเข้าใจผิดว่าพ.ร.บ.กับภาษีเป็นเรื่องเดียวกันเพราะทั้งสองต้องดำเนินการควบคู่กันไป เพราะถ้าหากเราไม่ต่อพ.ร.บ.ก็จะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้นั่นเอง
3.พ.ร.บ.คุ้มครองในเรื่องไหนบ้าง?
แบ่งการคุ้มครองได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
3.1 จำนวนค่าเสียหายเบื้องต้น (ได้รับโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด)
- ค่ารักษาพยาบาล (จ่ายตามจริง) ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ โดยสามารถเบิกได้สูงสุด 30,000 บาท
- กรณถึงแก่ชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร จะได้รับค่าความเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาท
- ในกรณีที่ได้รับความเสียหายทั้ง 2 รูปแบบ จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นชดเชยรวมกันไม่เกิน 65,000 บาท
3.2 ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติม หรือ ค่าเสียหายส่วนเกิน (จะได้รับก็ต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด)
- ค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บ สูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท
- การเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างสิ้นเชิง 500,000 บาท
- สูญเสียอวัยวะ นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป ได้รับเงินชดเชย 200,000 บาท
- สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน ได้รับเงินชดเชย 250,000 บาท
- สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วน ได้รับเงินชดเชย 500,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน 200 บาท รวมกันไม่เกิน 20 วัน (กรณีพักฟื้นเป็นผู้ป่วยใน) สูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท
หมายเหตุ ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายผิด จะได้รับแค่ความคุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น
4.หากขับรถโดยไม่มีพ.ร.บ.จะเกิดอะไรขึ้น
หากขับรถไม่มีพ.ร.บ.ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถหรือไม่ ถือว่ามีโทษทางกฎหมาย ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และเมื่อไม่มีพ.ร.บ.ก็จะไม่สามารถต่อภาษีรถได้ ซึ่งหากถูกเจ้าหน้าที่จับเพราะป้ายวงกลมหมดอายุ ก็จะต้องเสียค่าปรับอีกประมาณ 400-1,000 บาท เมื่อไปต่ออีกครั้งจะโดนค่าปรับดอกเบี้ยอีกเดือนละ 1% และหากปล่อยทิ้งไว้เกิน 3 ปี ทะเบียนรถจะถูกระงับการใช้งานและมีโทษปรับไม่เกิน 1,000บาท

รถยนต์ EV มีข้อดีอย่างไร?
หลายคนคงสงสัยว่ารถ EV คืออะไร รถ EV (Electric Vehicle) หรือที่เรียกกันว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้เพียงพลังงาน ไฟฟ้าอย่างเดียว โดยระบบรถไฟฟ้าจะเก็บพลังงานเอาไว้ในแบตเตอรี่ และแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ เอาล่ะมาดูกันว่าข้อดีของการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีอะไรบ้าง มาดูกัน
ข้อดีของการใช้รถ EV
1.เสียงรถค่อนข้างเงียบ
เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน จึงทำให้มีเสียงเงียบกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายเท่า
2.อัตราเร่งได้ดั่งใจผู้ขับ
หากท่านใดเคยลองขับรถยนต์ไฟฟ้าจะรู้สึกได้ว่าตั้งแต่การออกตัวและอัตราเร่งดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์เหมือนรถน้ำมันเชื้อเพลิง
3.ประหยัดค่าน้ำมัน
เพราะรถยนต์ไฟฟ้าเราสามารถชาร์จแบตเองได้ที่บ้านไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมัน เมื่อเทียบกับค่าน้ำมันที่ต้องเติมในแต่ละวันแล้วถือว่าประหยัดกว่าหลายเท่าตัวเลยทีเดียวค่ะ
4.ช่วยลดมลพิษ
รถยนต์ไฟฟ้าใช้ระบบแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า จึงไม่มีการเผาเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา ซึ่งทำให้มลพิษทางอากาศลดลง
โดยปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงพลังงานและยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย

เรื่องน่ารู้ขับรถทางไกล เตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
เมื่อขับรถทางไกล มีหลายสิ่งที่ผู้ขับควรรู้อยู่มากมาย เพราะการขับรถทางไกลนั้นต้องใส่ใจสุขภาพของผู้ขับและตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง วันนี้ทางไพศาลจะมาบอกวิธีเตรียมตัวและเรื่องน่ารู้ระหว่างขับรถทางไกลมาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ
ตรวจสอบสภาพรถยนต์และตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง
อันดับแรกเลยก่อนจะเดินทางไกล เราควรเช็กสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฟ ระบบเบรก เครื่องยนต์และอื่นๆ เพื่อที่ระหว่างเดินทางจะได้ราบรื่น และควรตรวจสอบเส้นทางและสภาพจราจรของจุดหมายที่จะไปให้เรียบร้อย จะได้หาเส้นทางที่ใกล้และประหยัดเวลาในการเดินทาง
พักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ
นอกจากจะเตรียมความพร้อมของเครื่องยนต์แล้ว สุขภาพของผู้ขับก็สำคัญไม่แพ้กัน ก่อนออกเดินทางผู้ขับควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและงดการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนออกเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงจากการมึนเมาและหลับในระหว่างขับขี่
จอดพักรถบ้าง
เมื่อขับรถทางไกลต่อเนื่องประมาณ 3-4 ชั่วโมง เราควรหาจุดจอดพักรถเพื่อให้เครื่องยนต์ได้พักระบายความร้อนบ้าง อีกทั้งผู้ขับจะได้ฟื้นฟูความเหนื่อยล้าสะสมจากการขับเป็นระยะเวลานาน ควรพักอย่างน้อย 30 นาที – 1 ชั่วโมง
จอดพักดับรถเลยได้ไหม?
ถือเป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยกันว่า เมื่อขับรถทางไกลพอถึงจุดจอดดับเครื่องเลยได้ไหม ซึ่งจะแยกออกได้เป็น 2 กรณีตามประเภทเครื่องยนต์ คือ
1.รถเครื่องยนต์เบนซิน
เมื่อถึงจุดจอดพักรถสามารถดับเครื่องได้ทันที เพราะระบบเผาไหม้ของเครื่องยนต์เบนซินเป็นระบบการฉีดน้ำมันเข้าห้องเครื่องโดยตรง อีกทั้งระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์เบนซินนั้นระบายความร้อนได้ดีอยู่แล้ว
2.รถเครื่องยนต์ดีเซล
ไม่ควรดับเครื่องทันที เพราะเครื่องยนต์ดีเซลมีเทอร์โบเป็นส่วนประกอบ เทอร์โบจะทำหน้าที่อัดอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้เพื่อเพิ่มกำลังและแรงบิดให้มากขึ้น ซึ่งเทอร์โบจะสะสมความร้อนมากขึ้น ควรวอร์มเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5-10 นาที ให้เทอร์โบได้ระบายความร้อนออกมาเสียก่อน เพราะถ้าดับเครื่องทันที ระบบระบายความร้อนจะหยุดทำงานและเกิดความร้อนสะสมภายในเครื่องยนต์ อาจทำให้ภายในเสียหายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ระหว่างจอดพักรถต้องเปิดฝากระโปรงรถไหม?
ไม่จำเป็นเพราะโดยทั่วไป ขณะที่รถยนต์กำลังวิ่งระบบระบาความร้อนภายในรถนั้นทำงานอยู่แล้วจึงไม่ได้ทำให้อุณภูมิในห้องเครื่องสูงมากนัก แต่ถ้าผู้ขับอยากเปิดเพื่อความสบายใจก็สามารถทำได้เช่นกัน
ต้องขับความเร็วเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
หากเน้นการประหยัดน้ำมัน ควรขับด้วยความเร็วระหว่าง 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือใช้ความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตามแค่ผู้ขับขี่ขับด้วยความเร็วคงที่ ไม่ขับสลับกับเร่งเครื่องยนต์ไปมา ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้นพร้อมกับช่วยถนอมเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย

ประกันภัยรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร
ประโยชน์ของการทำประกันภัยรถ
1.เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประกันพร้อมที่จะช่วยเหลือ
หากเราเกิดอุบัติบนท้องถนน เราสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.แบ่งเบาค่าซ่อมรถทั้งของเราและคู่กรณี
ไม่ต้องกังวลว่าเราจะต้องสำรองจ่ายก่อนเพราะประกันจะช่วยดูและในส่วนของค่าซ่อมเราและคู่กรณีให้
3.มีค่ารักษาพยาบาลให้ ไม่ต้องสำรองจ่ายเอง
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเราได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ประกันภัยจะมีค่ารักษาพยาบาลของคุณและคู่กรณีให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญาทำให้เราลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ค่อนข้างมาก
4.คุ้มครองเมื่อรถหาย หรือเกิดเหตุไฟไหม้ น้ำท่วม
สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 1 และ 2+ ในกรณีที่รถหาย เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถ น้ำท่วม หรือถูกโจรกรรมจากมิจฉาชีพ จะได้รับเงินชดเชยตามความคุ้มครองของแต่ละกรมธรรม์
5.มีรถสำรองให้ใช้ระหว่างรอซ่อม
ถ้าคุณมีประกันรถยนต์ชั้น 1 แล้วรถของคุณมีปัญหาต้องเข้าศูนย์ซ่อม ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินทางลำบาก เพราะทางประกันมีรถสำรองไว้ให้ใช้ หรือหากไม่ต้องการจะรับเป็นข้อเสนออย่างอื่นก็ได้ เช่น ค่าน้ำมันรถหรือค่าเดินทางชดเชยค่ะ
หากไม่ทำประกันรถจะมีผลเสียอะไรบ้าง?
1.ไม่สามารถทำเรื่องผ่อนไฟแนนซ์ได้
หากต้องการที่จะผ่อนไฟแนนซ์กับบริษัทสินเชื่อ จำเป็นที่จะต้องทำประกันรถยนต์ให้คลอบคลุมตามระยะเวลาที่ผ่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือการสูญหายของตัวรถ
2.หากเกิดอุบัติเหตุจ่ายค่าเสียหายเองทั้งหมด
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ที่นอกเหนือจากทางวงเงินคุ้มครองของพ.ร.บ.เราต้องเป็นผู้จ่ายเองทั้งหมด และในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด เรายังต้องเสียค่าชดเชยให้แก่คู่กรณีอีก ซึ่งถ้าเราทำประกันรถไว้จะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้พอสมควร
3.เสียเวลาดำเนินเอกสาร
เมื่อเกิดอุบัติเหตุนอกจากจะเสียทั้งเงินแล้วเรายังต้องเสียเวลาในการเดินเรื่องเอกสาร เจรจากับคู่กรณี และยังต้องเคลียกับประกันของคู่กรณีเองอีกซึ่งจะค่อนข้างยุ่งยากมากๆ
4.ภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง
หากเกิดภัยพิบัติเช่น ไฟไหม้ น้ำท่วมจนรถพัง เราต้องจ่ายในส่วนค่าซ่อมเองเพราะไม่มีประกันคุ้มครองความเสี่ยงแถมยังไม่ได้อะไรชดเชยอีก
อย่าคิดว่าการทำประกันรถยนต์จะเป็นการเสียเงินทิ้งไปฟรีๆ เพราะถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ประกันจะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายไปได้ค่อนข้างมาก หากเกิดอุบัติเหตุแล้วได้รับบาดเจ็บทางร่างกายประกันจะมีค่ารักษาพยาบาลให้อีกด้วย เพราะงั้นทำประกันรถยนต์ไว้ดีกว่าค่ะคุ้มครองรถยนต์และตัวคุณ ไม่ต้องกังวลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประกันรถสมัยนี้มีให้เลือกหลายแบบและราคาไม่แพงมาก ลองหาประกันที่เหมาะกับความต้องการดูนะคะ

6วิธีดูแลรถบรรทุกเพื่อยืดอายุการใช้งาน
1.ตรวจเช็กลมยาง
ควรเติมลมยางให้พอดีไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะหากลมยางน้อยเกินไป จะทำให้ยางเกิดอาการบวม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับได้ เพราะงั้นควรสูบลมยางทั้งสองข้างให้เสมอกันและใช้แรงดันลมให้เหมาะกับยาง หากยางข้างใดข้างนึงข้างนึงอ่อนกว่าจะทำให้การรับน้ำหนักของด้านนั้นน้อยลง ส่งผลให้ยางเกิดอาการสึกหรอและอายุในการใช้งานก็จะน้อยลง
2.ตรวจเช็กและดูแลหม้อน้ำรถบรรทุก
เราควรตรวจสอบระดับน้ำ1-2ครั้งต่อสัปดาห์ หากตรวจเช็กแล้วพบว่าปริมาณน้ำลดลงควรเติมน้ำยาหล่อเย็นให้เต็ม หากสีของน้ำยาหล่อเย็นเปลี่ยนสีไปจากเดิม สีน้ำเริ่มเป็นสีสนิม ให้นำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่เพื่อทำการเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็น อีกทั้งเราควรตรวจสอบชิ้นส่วนของหม้อน้ำว่ามีสภาพพร้อมใช้งานมากน้อยแค่ไหนและควรเช็กว่าภายในหม้อน้ำมีสิ่งอุดตันไหม เพื่อไม่ให้เกิดการสึกหรอของหม้อน้ำ
3.เติมน้ำฉีดกระจกปัดน้ำฝนอยู่เสมอ
ควรเติมน้ำในกระจกปัดน้ำฝนให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อให้การขับรถบรรทุกมีความปลอดภัยไม่ให้สิ่งสกปรกมาบดบังการมองเห็นของผู้ขับ สามารถผสมน้ำยาล้างกระจกได้เล็กน้อยเพื่อเพิ่มความใสให้กระจกขณะที่ปัดน้ำฝนทำงาน
4.เช็กลมยางอะไหล่
เราควรมียางอะไหล่รถติดรถไว้ตลอดเวลาเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เพราะยางอะไหล่จะถูกเก็บไว้เพื่อรอการใช้งาน เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งานขึ้นมายางอะไหล่จะต้องพร้อมอยู่เสมอ ดังนั้นเราควรตรวจเช็คยางอะไหล่อย่างน้อยเดือนละครั้ง
5.ตรวจเช็กระยะ
การนำรถบรรทุกไปตรวจเช็กระยะนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นการช่วยดูแลรถบรรทุกช่วยให้รถบรรทุก มีประสิทธิภาพและช่วยยืดอายุการใช้งานของรถบรรทุกได้อีกด้วยและยังช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากเครื่องยนต์ได้อีกด้วย
6.ตรวจเช็กน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องคือส่วนสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น การตรวจเช็คน้ำมันเครื่องรถบรรทุกนั้นควรหมั่นตรวจสอบ 2-3 สัปดาห์ โดยน้ำมันเครื่องจะเป็นของเหลวที่ช่วยในการบำรุงและหล่อเย็นให้เครื่องยนต์ไม่สึกหรอ โดยวิธีเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ดึงก้านวัดออกมาดู แต่การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องต้องให้ทางศูนย์บริการเปลี่ยนให้เพื่อความปลอดภัย
ทำไมต้องหมั่นเช็กรถบรรทุกอยู่เป็นประจำ?
เพื่อเช็กความพร้อมของรถบรรทุกก่อนขับใช้งานและลดการสึกหรอของรถบรรทุกเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถบรรทุกให้นานขึ้น

GPSคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
GPS คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
GPS คืออะไร?
ระบบการค้นหาตำแหน่งทั่วโลก หรือที่เราเรียกกันว่า GPS (Global Positioning System) คือระบบการนำทางด้วยดาวเทียม ประกอบด้วยดาวเทียมอย่างน้อย 24 ดวง GPS สามารถปฏิบัติการได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก และทุกสภาพอากาศตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน โดยปัจจุบัน GPS เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์มากมายในชีวิตประจำวันของเรา มาดูกันว่าประโยชน์ของ GPS นั้นมีอะไรบ้าง
ประโยชน์ของ GPS มีอะไรบ้าง?
- ช่วยในการนำทางไปยังสถานที่ต่างๆ ข้อนี้ถือว่าหลายคนคงเคยใช้ GPS ในการนำทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพราะ GPS ช่วยให้เราสามารถระบุทิศทางการเดินทางได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายได้สะดวกยิ่งขึ้น
- วิเคราะห์สภาพอากาศ นอกเหนือจากการใช้ในการนำทางแล้ว GPS ยังช่วยทำให้เราสามารถวิเคราะห์และทำนายสภาพอากาศได้อย่างถูกต้อง โดยจะใช้ GPS เพื่อวัดความเร็วและทิศทางของลม เพื่อช่วยในการทำนายสภาพอากาศ
- ใช้ GPS ในด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตามตรวจสอบและความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม
- ใช้ในการค้นหาสิ่งของหรือบุคคล GPS จะช่วยให้เราสามารถติดตามตำแหน่งสิ่งของหรือบุคคลได้อย่างแม่นยำ ทำให้การค้นหาง่ายขึ้น
- ใช้งานในด้านสุขภาพและกีฬา เป็นตัวบอกความเร็วในการเดิน ระยะทาง ซึ่งนำไปใช้ร่วมกับการคำนวณแคลลอรี่ได้อีกด้วย
- การกำหนดจุดเพื่อบรรเทาสาธารณะภัย เช่น จุดอำนวยความสะดวก จุดปลอดภัยหรือจุดหลบภัยหรือชุดป้องกันที่ติดเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอส
- วางแผนการใช้ที่ดิน โครงข่ายหมุดดาวเทียมของกรมที่ดิน
- ใช้ GPS เพื่อเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ดูการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
- ใช้ GPS เพื่ออ้างอิงการวัดเวลาที่แม่นยำ
- ใช้ GPS ในการคำนวณตำแหน่งที่ตั้งในด้านโทรคมนาคมและการจัดการพลังงาน
นอกจากการใช้GPSนำทางแล้ว GPSยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย

ก่อนมีรถ1คัน มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
ก่อนมีรถ1คัน มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างไปดู
การซื้อรถยนต์เป็นทางเลือกที่จะทำให้เราเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น แต่หลายคนลืมคิดไปว่าการซื้อ 1 คัน นอกจากค่างวดรถแล้วยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆตามาอีกเพียบ วันนี้ ไพศาลแคปปิตอลสรุปค่าใช้จ่ายแฝงของการมีรถมาให้คร่าวๆแล้ว มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง
1.เงินดาวน์
เป็นด่านแรกของการซื้อรถยนต์ คือเราต้องวางเงินดาวน์ประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ ของราคารถ หากวางเงินดาวน์น้อยอาจต้องมีคนค้ำ หากวางเงินดาวน์สูง ค่างวดที่จะต้องจ่ายต่อเดือนก็จะเบาลง
2.ค่างวดรถ
ค่างวดรถที่ต้องจ่ายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินดาวน์ที่วางไว้ในตอนแรก ราคารถและดอกเบี้ย โดยเฉลี่ยแล้วต้องจ่ายเดือนละประมาณ 5,0000-15,000 บาท
3.ค่าบำรุงรักษา เช็กสภาพรถ
โดยปกติแล้วจะต้องมีการนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสภาพรถ ทุกๆ 6 เดือน หรือ ทุกๆ10,000 กิโลเมตร โดยค่าใช้จ่ายหลักๆจะเป็นค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แบตเตอรี่ เปลี่ยนยาง และอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 1,000-5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับสภาพรถในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย แต่ถ้าทางศูนย์มีบริการตรวจเช็คสภาพรถฟรี ก็จะช่วยประหยัดในส่วนนี้ไปได้ระยะหนึ่ง
4.ค่าน้ำมัน / แก๊ส
ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายแน่ๆอยู่แล้วในทุกๆเดือนถ้ามีการใช้รถ โดยเสียเฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 2,000-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง ในการใช้รถ
5.ค่าประกัน พ.ร.บ และภาษีรถยนต์
เป็นข้อบังคับที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องมี ทั้งเรื่องของภาษีและพ.ร.บ. โดยค่าใช้จ่ายจะหนักไปที่ค่าประกันที่เสียเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 15,000-25,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับความคุ้มครองของประกันที่เลือก
6.ค่าทางด่วน
หากต้องการประหยัดเวลาเดินทาง การใช้ทางด่วนเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ แต่จะมีค่าบริการเริ่มต้นครั้งละ 50 บาท ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ทางด่วนไปที่ไหน
7.ค่าอุปกรณ์เสริมต่างๆ
ส่วนใหญ่หลายคนหมดเงินไปกับค่าอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟิล์มกรองแสง กล้องติดรถยนต์ ที่วางโทรศัพท์ หรือของจุกจิกอื่นๆที่ไว้ตกแต่งภายในรถ
8.ค่าล้างรถ
บางคนที่ไม่สะดวกล้างรถด้วยตัวเองเนื่องจากสถานที่ไม่อำนวย ทำให้ต้องไปใช้บริการคาร์แคร์ ค่าล้างรถจะเริ่มต้น 100-300 บาท แล้วแต่คาร์แคร์แต่ละที่
9.ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น ค่าปรับในกรณีที่ทำผิดกฎจราจร ค่าซ่อม และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ตามมาอีกมากมาย
เห็นค่าใช้จ่ายแฝงที่ตามมาแบบนี้แล้วใครที่กำลังจะออกรถใหม่ อย่าลืมเตรียมแผนรับมือค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วยนะคะ

ขับรถความเร็วเท่าไหร่ไม่โดนใบสั่ง
ขับรถความเร็วเท่าไหร่ไม่โดนใบสั่ง?
กฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่ ควรขับไม่เกินเท่าไหร่ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ.2564 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งได้จำแนกประเภทรถกับความเร็วที่ขับได้ โดยมีข้อกำหนดดังนี้
อัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กฎหมายกำหนด
-รถแทรกเตอร์ รถบดถนน รถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม.
-รถลากจูง รถยนต์สี่ล้อเล็ก รถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.
-รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
-รถจักรยานยนต์ขนาด 400 CC ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
-รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.
-รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถเกิน 2,200 กิโลกรัม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.
-รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 7 คนแต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
-รถยนต์หรือรถอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม.
โดยจะมีการกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับการขับรถในช่องเดินรถทางขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวง โดยจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป โดยให้รถยนต์ที่ขับในช่องทางเดินรถช่องขวาสุดใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม.
อัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางพิเศษในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลนคร เขตเทศบาลเมือง หรือเขตชุมชน และทางขนาน ที่กฎหมายกำหนด
-รถลากจูง รถสามล้อ รถยนต์ 4 ล้อเล็ก ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.
-รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
-รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
-รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
-รถยนต์หรือรถอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
ทั้งนี้ หากรถดังกล่าวอยู่ในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กม./ชม.
ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย หรือมีเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตรายหรือเขตให้ชะลอความเร็ว ให้เราลดความเร็วลงขณะขับขี่เพื่อความปลอดภัย และหากพบว่ามีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วต่ำกว่าอัตราที่กำหนดไว้ข้างต้น ให้ใช้ความเร็วไม่เกินที่เครื่องหมายกำหนด
อัตราโทษปรับ หากขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด
จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่
ด้วยเหตุนี้การที่กำหนดความเร็วบนทางหลวงและทางพิเศษ เพื่อช่วยให้การขับขี่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น มีโอกาสที่จะลดการเกิดอุบัติเหตุ แต่ทั้งนี้ ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอาจก่อให้อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้

อยากเริ่มขับรถบรรทุกต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
ก่อนอื่นเลยหากอยากเริ่มขับบรรทุก ไม่ใช่ว่าใครจะขับกันได้ง่ายๆ ต้องมีใบอนุญาตก่อนถึงจะสามารถขับรถบรรทุกได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เอาล่ะ ถ้าอยากเริ่มขับรถบรรทุก ต้องทำอะไรบ้าง ไปดูกัน
1.ต้องมีใบอนุญาตในการขับขี่ส่วนบุคคล
หรือใบขับขี่มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี จากนั้นต้องยื่นขอใบอนุญาตขับรถบรรทุกประเภท ท.2 หากสงสัยว่าใบขออนุญาตขับรถบรรทุก ประเภท ท.2 คืออะไร อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ :
2.สอบขอใบอนุญาตขับรถบรรทุกที่ใช้เพื่อการขนส่งทางบก
หลักสูตรสอนขับรถที่ใช้เพื่อการขนส่งทางบก รถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ เป็นเวลา 41 ชั่วโมง ประกอบด้วย
ภาคทฤษฎี ใช้เวลา 15 ชั่วโมง ประกอบด้วย
1.ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.รถยนต์ ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
2.ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและอาญาที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับรถ
3.ความรู้เกี่ยวกับรถและเครื่องยนต์และการบำรุงรักษารถบรรทุกและการแก้ไขข้อขัดข้องเบื้องต้น
4.ความรู้เกี่ยวกับหลักการขับรถอย่างปลอดภัยและการคาดการณ์
5.ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ผู้ขับรถมนุษย์สัมพันธ์และมารยาทในการขับรถ
6.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสินค้าและการขนส่งวัตถุอันตราย
ภาคปฏิบัติ ใช้เวลา 26 ชั่วโมง ประกอบด้วย
1.ทบทวนและทดสอบความสามารถการขับรถ
2.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรถและพื้นฐานการขับรถที่ใช้เพื่อการขนส่งทางบกเบื้องต้น
3.การฝึกหัดขับรถตามท่าฝึกต่างๆ
4.การฝึกหัดขับรถนอกสถานที่ตามสภาพถนนจริง
หลักสูตรการสอนขับรถที่ใช้เพื่อการขนส่งทางบกจำนวน 30 ชั่วโมง (หลักสูตรนี้สำหรับผู้ที่มีใบอนุญาตขับรถยนต์แล้ว)
ภาคทฤษฎี ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ประกอบด้วย
1.ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
2.ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและอาญาที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับรถ
3.ความรู้เกี่ยวกับรถและเครื่องยนต์และการบำรุงรักษารถบรรทุกและการแก้ไขข้อขัดข้องเบื้องต้น
4.ความรู้เกี่ยวกับหลักการการขับรถอย่างปลอดภัยและการคาดการณ์
5.ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ผู้ขับรถมนุษย์สัมพันธ์และมารยาทในการขับรถ
6.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสินค้าและการขนส่งวัตถุอันตราย
ภาคปฏิบัติ ใช้เวลาในการเรียนการสอน 20 ชั่วโมง
1.ทบทวนทดสอบความสามารถในการขับรถ
2.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรถและพื้นฐานการขับรถ
3.การฝึกซ้อมหัดขับรถตามท่าฝึกต่างๆ
4.การฝึกซ้อมหัดขับรถนอกสถานที่ตามสภาพถนนจริง
อีกทั้งคนขับรถบรรทุกยังต้องทราบถึงข้อจำกัดเวลาและเรื่องน้ำหนักรถบรรทุก และเรื่องอื่นๆอีกมากพอสมควร สามารถอ่านรายละเอียด “เรื่องที่ต้องรู้ก่อนขับรถบรรทุก”
เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.paisancapital.com/public/th/article/test8

ประกันชีวิตแบบไหนเหมาะกับคุณ?
ก่อนอื่นเลยประกันชีวิตมีมากมายหลายประเภท แล้วประกันชีวิตแบบไหนล่ะ? ที่เหมาะกับคุณ วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลจะมาสรุปให้ทุกท่านว่าประกันชีวิตมีแบบไหนบ้าง
1.ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
เป็นประกันชีวิตที่คุ้มครองภายในระยะเวลาที่กำหนด เป็นการจ่ายเบี้ยประกันเพียงครั้งเดียว หรือเรียกอีกอย่างว่า เบี้ยจ่ายทิ้ง สมมติว่าเราต้องการความคุ้มครอง 500,000บาท ในระยะเวลา2ปี เราก็จ่ายเบี้ยประกันครั้งเดียว หากเราเสียชีวิตภายในระยะเวลานั้น ทางประกันจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่ท่านระบุไว้ แต่ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาการคุ้มครองไปแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ทำประกันจะไม่ได้รับเงินชดเชย เพราะประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาให้ความคุ้มครองจากการเสียชีวิตเพียงอย่างเดียว ประกันแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการทุนประกันสูงและต้องการจ่ายดอกเบี้ยต่ำ
2.ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
เป็นประกันที่จะให้เราจ่ายเบี้ยประกันไปซักระยะนึงก่อน เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี แต่จะให้ความคุ้มครองตลอดชีพ จนถึงอายุ85-99 ปี แล้วแต่เงื่อนไขของประกันแต่ละที่ หากผู้ทำประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญาก็จะได้เงินประกันไป แต่หากผู้ทำประกันเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินประกันไปแทน เหมาะสำหรับผู้ที่อยากบริหารความเสี่ยง ไม่อยากเสียเบี้ยประกันไปเฉยๆ ที่ต้องการความคุ้มครองเป็นระยะยาว ถือว่าประกันชีวิตแบบตลอดชีพเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะระยะเวลาในการคุ้มครองยาวเท่าชีวิตเราเลย
3.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์น่าจะเป็นประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อาจเป็นเพราะเป็นประกันชีวิตที่จ่ายเบี้ยประกันแล้วจะได้รับเงินคืนมากกว่าเบี้ยที่จ่ายไป โดยทั่วไปประกันแบบนี้จะกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องจ่ายเบี้ยปีละเท่าไหร่ ต้องจ่ายทั้งหมดกี่ปีและจะได้รับผลอบแทนคืนช่วงไหนบ้าง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็บเงินระยะยาวควบคู่ไปกับการมีความคุ้มครอง
4.ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance)
เป็นการคุ้มครองรายได้หลังเกษียณเป็นหลัก โดยบริษัทประกันชีวิตจะเริ่มจ่ายเงินคืนตามกรมธรรม์ให้เมื่อครบอายุ55ปีหรือ60ปี ระยะเวลาในการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตและเงินสะสมไว้ใช้จ่ายยามชราแต่จะให้ความคุ้มครองน้อย
5.ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked Insurance)
เป็นประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองชีวิต และเปิดให้ผู้เอาประกันเลือกที่จะรับผลตอบแทนจากการทำประกันที่มากขึ้น โดยการนำเบี้ยประกันที่จ่ายไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
เหมาะกับผู้ที่มีความเข้าใจในการลงทุนที่ต้องการมีทุนประกันชีวิตและพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนด้วย

รถบรรทุกห้ามวิ่งเวลาไหนบ้าง?
เพราะการจราจรในพื้นที่ของในกรุงเทพฯนั้น การจราจร ค่อนข้างติดขัดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเวลาเร่งด่วนช่วงเช้าและช่วงเย็น จึงมีกฎหมายกำหนดเวลาห้ามรถบรรทุกวิ่งเข้าพื้นที่กรุงเทพชั้นในเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดดังนี้
กรณีวิ่งพื้นที่ราบ
1.ห้ามรถบรรทุกก๊าซ วัตถุไวไฟ ตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินรถในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน เว้นวันอาทิตย์
2.รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-09.00น. และ 16.00-20.00น. เว้นวันหยุดราชการ
3.รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-10.00น. และ 15.00-21.00น. เว้นวันหยุดราชการ
4.ห้ามรถบรรทุกอื่น เช่น บรรทุกซุง เสาเข็ม เดินรถเวลา 06.00-21.00น.
กรณีวิ่งบนทางด่วน
1.รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-09.00น. และ 16.00-20.00น.
2.รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-9.00น. และ 15.00-21.00น.
3.รถบรรทุกสารเคมี ห้ามวิ่งเวลา 06.00-10.00น. และ 15.00-22.00น.
ทั้งนี้รถกะบะที่บรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 1,600 กก. สามารถวิ่งในเขตกรุงเทพฯได้ไม่ติดเวลา ส่วนรถบรรทุกที่มีท้ายยาว 2.50 เมตร วัดความสูงจากพื้น 3 เมตร ส่วนหน้าห้ามเลยหัวเก๋ง แต่ในข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร ว่าด้วย ห้ามเดินรถบรรทุกขนาดใหญ่ในเขตพื้นที่ 113 ตร.กม.ระหว่างเวลา 06.00-21.00น. เว้นวันหยุดราชการ

5 วิธีดูแลยางรถเพื่อยืดอายุการใช้งาน
วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลมีเคล็ดลับ 5 วิธี ดูแลยางรถ เพื่อยืดอายุการใช้งานยางให้นานขึ้นมาให้ค่ะ
1.เลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน
เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางให้ได้นานที่สุด ควรเลือกยางรถให้เหมาะสมกับการใช้งาน หากต้องไปในสถานที่ขรุขระ หรือใช้งานหนัก อาจจะต้องเลือกยางให้เหมาะสมแก่การใช้งาน โดยสามารถสอบถามหรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านยางรถได้เลยค่ะ
2.เช็คระดับลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
ล้อยางรถแต่ละรุ่นมีขนาดและการใช้งานที่ต่างกัน ทำให้ปริมาณลมยางล้อของรถแต่ละคันนั้นแตกต่างกันไปออก เราควรศึกษาข้อมูลหรือสอบถามช่างจากศูนย์ว่าควรเติมลมยางในปริมาณเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่ารถเรานั้นควรต้องใช้ระดับลมยางประมาณไหน ควรหมั่นตรวจเช็กความดันลมยางเป็นประจำในทุกๆ 2-4 สัปดาห์ หรือเดือนละครั้ง เพราะระดับความดันลมยางที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้ยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ได้ยาวนานกว่าปกติ
3.สลับยาง
บางคนอาจสงสัยว่าทำไม ต้องสลับยาง? เพราะยางจะเสื่อมสภาพไปตามการขับของเรา แต่ยางหน้ารถนั้นจะได้รับแรงจากการใช้งานมากที่สุด ทำให้ยางล้อหน้าจะสึกเร็วกว่าล้อหลัง ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้สลับตำแหน่งยางอยู่บ่อยๆจะช่วยให้ยางสึกเท่ากันและดอกยางจะมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น หากคุณเข้าใจว่าการสลับยางมีวิธีทำอย่างไรก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจะให้ช่างมืออาชีพดำเนินการแทนก็ได้
4.ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อสำคัญต่อการขับขี่รถเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ล้อ ถ้าศูนย์ถ่วงล้อไม่สมดุลกันอาจทำให้องศาล้อเบี้ยวไปจากเดิม อาจทำให้ล้อสั่นและยางอาจสึกหรอเร็วขึ้น นอกจากนี้จะทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการตั้งศูนย์จะเป็นสิ่งที่มาช่วยในการสร้างสมดุลและทำให้การขับรถของคุณนุ่มนวลขึ้นด้วย
5.เช็กดอกยาง
ดอกยางรถมีไว้เพื่อยึดเกาะถนนและรีดน้ำขณะขับรถเมื่อถนนเปียก เพื่อให้หน้ายางนั้นสัมผัสกับพื้นถนนทำให้สามารถเดินทางได้ปลอดภัยและรถไม่ลื่นจนออกนอกถนน โดยหน้ายางยังทำหน้าที่กระจายแรงทั้งหมดไปยังทิศทางต่างๆ ดอกยางจะเสื่อมสภาพลงจากการใช้งาน เราจึงควรสังเกตและตรวจเช็คยางเป็นประจำทุกปี

รู้หรือไม่? ภาษีรถยนต์คืออะไร?
ทุกคนรู้หรือไม่? ว่าภาษีรถยนต์คืออะไร ? วันนี้ไพศาลแคปปิตอลมีคำตอบมาให้ค่ะ
1. ภาษีรถยนต์คืออะไร
ภาษีรถยนต์ คือ ป้ายกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ผู้มีรถทุกคนต้องจ่ายภาษีรถตามที่กฎหมายบังคับ ซึ่งภาษีที่เราจ่ายไปทางหน่วยงานภาครัฐจะนำไปพัฒนาระบบคมนาคมให้ดียิ่งขึ้น หากปล่อยให้ขาดอาจทำให้ถูกปรับและเสียเวลาในการดำเนินการต่ออีกด้วย
2.พ.ร.บ.กับภาษีรถเหมือนกันไหม?
พ.ร.บ.กับภาษีรถ ไม่เหมือนกัน โดยพ.ร.บ.คือการทำประกันภัยภาคบังคับ เพื่อคุ้มครองในกรณที่เกิดอุบัติเหตุทางรถ ในขณะที่ภาษีรถยนต์ คือ การต่อทะเบียนรถประจำปี โดยภาษีที่จ่ายไปจะนำไปพัฒนาระบบคมนาคมให้ดียิ่งขึ้น หลายคนมักเข้าใจผิดว่าพ.ร.บ.กับภาษีเป็นเรื่องเดียวกันเพราะทั้งสองต้องดำเนินการควบคู่กันไป เพราะถ้าหากเราไม่ต่อพ.ร.บ.ก็จะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้นั่นเอง
3.ภาษีขาดแต่ พ.ร.บ.ไม่ขาด จะส่งผลอย่างไร?
จริงๆแล้วการต่อภาษีหรือต่อทะเบียนรถ สามารถทำล่วงหน้าได้ก่อนที่ทะเบียนจะขาดหรือหมดอายุได้ไม่เกิน 3 เดือน หรือต่อทะเบียนออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมขนส่งทางบก หากต่อภาษีล่าช้า จะต้องเสียค่าปรับ 1% ของภาษีรถยนต์ต่อเดือน หากไม่ได้ต่อทะเบียนรถนานเกิน 3 ปี จะมีจดหมายจากกรมขนส่งส่งมาตามที่อยู่เจ้าของรถและเลขทะเบียนนั้นจะถูกระงับ หากเราจะนำรถมาใช้ต้องไปยื่นขอจดทะเบียนใหม่ รวมไปถึงต้องชำระภาษีรถยนต์ย้อนหลังสูงสุด 3 ปี อีกด้วย
4.พ.ร.บ. ไม่ขาดแต่ภาษีขาด หากเกิดอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครองไหม?
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจะยึดเอาพ.ร.บ.หรือประกันเป็นหลัก หากประสบอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆก็ไม่ต้องกังวลเพราะเราจะได้รับความคุ้มครองจากพ.ร.บ.ค่ะ
4.ต่อภาษีรถยนต์ ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
- เล่มทะเบียนรถหรือสำเนาทะเบียนรถ
- พ.ร.บ.
- ใบตรวจสภาพรถยนต์ (สำหรับรถที่อายุเกิน 7 ปี)
- เอกสารรับรองการติดแก๊ส (สำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส)

สินเชื่อรถบรรทุกคืออะไร?
สินเชื่อรถบรรทุก คืออะไร?
เป็นสินเชื่อที่เจ้าของรถบรรทุกนำรถบรรทุกมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อแลกเอาเงินก้อน โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ สินเชื่อรถบรรทุกไม่แตกต่างจากสินเชื่อประเภทอื่นๆเท่าไหร่นัก เพียงแต่หลักทรัพย์มีมูลค่าสูง สถาบันการเงินจึงสามารถปล่อยวงเงินที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นได้ ทำให้สินเชื่อรถบรรทุกค่อนข้างได้รับความนิยมเพราะได้ยอดเงินที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นๆ
จุดเด่นของสินเชื่อรถบรรทุก
- วงเงินสูง สามารถกู้ได้ตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน ตามมูลค่าของรถบรรทุกที่นำมาค้ำประกัน
- ได้รับเงินก้อนใหญ่ทันทีที่เอกสารผ่านการอนุมัติ
- เมื่อกู้ผ่านแล้ว สามารถนำรถบรรทุกขับวิ่งงานต่อได้ตามปกติ ไม่ต้องนำมาจอดทิ้งไว้
- ผ่อนได้นานสูงสุด 60 เดือน สามารถเลือกผ่อนชำระคืนได้เป็นระยะเวลานานหลายปี โดยเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
ทำไมต้องขอสินเชื่อรถบรรทุกกับไพศาลแคปปิตอล ?
เพราะที่ไพศาลแคปปิตอล ให้บริการแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการจัดไฟแนนซ์ ย้ายไฟแนนซ์ รีไฟแนนซ์ และบริการสินเชื่อรถบรรทุก6ล้อ10ล้อทุกชนิด ทางเราอนุมัติไว เอกสารในการออกรถไม่ยุ่งยาก ไม่เช็คเครดิตบูโร ติดแบล็คลิสบูโร ก็กู้ได้ ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.66% ผ่อน ได้นานสูงสุดถึง 60 เดือน

อาชีพไหนขอสินเชื่อรถบรรทุกได้บ้าง?
ในยุคที่การขนส่งรถบรรทุกมีการแข่งขันกันสูงขึ้นแบบนี้ อาจทำให้ผู้ประกอบการหลายคนประสบภาวะวิกฤตทางการเงิน ธุรกิจติดขัดหมุนเงินลงทุนไม่ทัน ค่างวดที่ค้างจ่าย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เริ่มติดขัดไม่พอใช้ ที่อาจจะทำให้ธุรกิจของคุณต้องชะงัก! ทางไพศาลแคปปิตอลเราขอแนะนำทางเลือกที่น่าสนใจอย่างการขอสินเชื่อรถบรรทุก ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณได้ไปต่อ
สินเชื่อรถบรรทุก คืออะไร?
เป็นสินเชื่อที่ผู้เป็นเจ้าของรถบรรทุกเงินนำรถบรรทุกมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อแลกเป็นเงินก้อนมาต่อยอดธุรกิจของท่าน
จุดเด่นของสินเชื่อรถบรรทุก
ด้วยความที่รถคันใหญ่อย่างรถบรรทุกมีมูลค่าสูงกว่ารถประเภทอื่น และแน่นอนว่าหากนำมายื่นขอสินเชื่อ ย่อมได้วงเงินที่สูงมากเช่นกัน ทำให้สินเชื่อรถบรรทุกเป็นแหล่งกู้เงินก้อนที่ได้รับความนิยม
ทำไมต้องขอสินเชื่อรถบรรทุกกับไพศาลแคปปิตอล ?
เพราะที่ไพศาลแคปปิตอล ให้บริการแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการจัดไฟแนนซ์ ย้ายไฟแนนซ์ รีไฟแนนซ์ และบริการสินเชื่อรถบรรทุก6ล้อ10ล้อทุกชนิด ทางเราอนุมัติไว เอกสารไม่ยุ่งยาก
ไม่เช็คเครดิตบูโร ติดแบล็คลิสบูโร ก็กู้ได้ ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.66% ผ่อน ได้นานสูงสุดถึง 60 เดือน
อาชีพไหนที่สามารถขอสินเชื่อรถบรรทุกได้บ้าง?
หลายคนเกิดคำถามว่าหากไม่ใช่เจ้าของกิจการจะสามารถขอสินเชื่อรถบรรทุกได้ไหม และอาชีพไหนที่สามารถขอสินเชื่อรถบรรทุกกับทางไพศาลแคปปิตอลได้บ้าง ?
มาดูกันเลย!
อาชีพ เกษตรกร รับจ้าง ค้าขาย สามารถขอสินเชื่อกับทางไพศาลแคปปิตอลได้
เอกสารที่ต้องใช้ในการขอสินเชื่อ
1.สำเนาบัตรประชาชน
2.สำเนาทะเบียนบ้าน
3.เอกสารแสดงรายได้
4.เอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน (ถ้ามี)

รู้หรือไม่รถบรรทุกมีกี่ประเภท?
เราอาจจะเคยได้ยินชื่อ รถบรรทุก 6 ล้อ รถบรรทุก 10 ล้อ แต่รู้หรือไม่ว่าตามที่กฎหมายกำหนดรถบรรทุกมีกี่ประเภท ไปดูกันเลย!
1.รถกะบะบรรทุก ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้เป็นรถกะบะ จะมีหลังคาหรือไม่มีก็ได้ ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการบรรทุกสินค้าขนาดเล็ก เช่น ข้าว เฟอร์นิเจอร์ ดิน ทราย หรือสินค้าทางการเกษตรต่างๆ
2.รถตู้บรรทุก โดยรถที่ใช้ในการบรรทุกจะมีลักษณะเป็นตู้ทึบ มีหลังคาและตัวถังที่บรรทุกระหว่างผู้โดยสารและผู้ขับตอนเดียว โดยจะมีประตูบานใหญ่ไว้สำหรับให้ผู้โดยสารขึ้นลง หรือจะเลือกเปิดท้ายก็ได้ เน้นใช้ในการขนส่งหรือบรรทุกสินค้าที่ต้องควบคุมอุณภูมิระหว่างจัดส่ง
3.รถบรรทุกของเหลว เป็นรถที่ใช้บรรทุกของเหลวต่างๆ ที่บรรทุกของเหลวตามความเหมาะสม มีระบบความปลอดภัยสูง
4.รถบรรทุกวัสดุอันตราย ลักษณะจะคล้ายกับรถบรรทุกของเหลวแต่แทงก์จะมีความหนาแน่นสูงเพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือซึมของสิ่งที่บรรทุกเป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกวัสดุอันตราย
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สารเคมี วัตถุระเบิด วัสดุไวไฟ
5.รถบรรทุกเฉพาะกิจ รถที่ใช้จะมีลักษณะพิเศษ เพื่อใช้ในการเฉพาะ เช่น รถบรรทุกเครื่องดื่ม รถผสมซีเมนต์ รถขยะมูลฝอย รถราดยาง หรือรถเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เช่นงานก่อสร้าง เป็นต้น
6.รถพ่วง จะเป็นรถที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ต้องอาศัยรถอื่นลากจูงโดยจะมีโครงรถที่มีเพลาล้อที่สมบูรณ์ในตัวเอง สามารถบรรทุกสินค้าและยึดต่อเพื่อลากส่วนหางได้
ทำให้สามารถบรรทุกสินค้าได้ครั้งละมากๆในเที่ยวเดียว
7.รถกึ่งพ่วง เป็นรถบรรทุกสินค้าที่ไม่มีแรงขับเคลื่อนในตัวเอง และไม่สามารถแยกจากกันได้ระหว่างส่วนหัวเทรลเลอร์และส่วนท้ายที่เป็นรถพ่วงต้องรับน้ำหนักร่วมกัน
8.รถกึ่งพ่วงบรรทุกวัสดุยาว รถที่ไว้ใช้ในการขนสิ่งของที่ยาว โดยจะมีโครงโลหะที่สามารถปรับตัวได้ตามช่วงล้อลากจูง เป็นรถบรรทุกสินค้าที่บรรจุและรองรับสินค้าเมากที่สุดในบรรดารถบรรทุก
ทุกประเภท
9.รถลากจูง เป็นรถที่ทำหน้าที่ในการลากจูงรถประเภทอื่น ในกรณีรถคันอื่นมีปัญหาไม่สามารถขับเคลื่อนได้หรือชำรุด หรือใช้ในการลากจูง รถพ่วง รถกึ่งพ่วง ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองได้
เป็นรถที่มีหน้าที่ช่วยเหลือรถคันอื่นๆ

รวม 4 จุดบอดรถบรรทุก สุดอันตราย!!
รวมจุดบอดรถบรรทุกสุดอันตราย! ที่ไม่ควรขับเข้าไปใกล้ เพื่อความปลอดภัย
จุดที่ 1 ด้านขวารถบรรทุก ด้วยความสูงของตัวรถทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นของคนขับรถลดลง คนขับจะมองเห็นรถก็ต่อเมื่ออยู่ในรัศมีของกระจกข้าง หากอยู่นอกเหนือจากรัศมีกระจกคนขับรถจะไม่สามารถมองเห็นรถที่อยู่ด้านข้างได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ขับรถบรรทุกชนรถคันอื่นที่อยู่ด้านขวาและเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
จุดที่ 2 ด้านซ้ายรถบรรทุก เป็นจุดที่อันตรายมากกว่าด้านขวา เนื่องจากเป็นจุดที่ตรงข้ามกับคนขับด้วยระยะของกระจกมองข้างด้านซ้ายอยู่ห่างจากตัวคนขับรถ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองลดลงและเป็นด้านที่รัศมีการมองค่อนข้างแคบ ควรหลีกเลี่ยงการขับใกล้ชิดบริเวณนี้เพื่อความปลอดภัย
จุดที่ 3 ด้านหน้ารถบรรทุก หากตำแหน่งของรถคันอื่นอยู่ใกล้หน้ารถบรรทุกมากเกินไป อาจะทำให้คนขับรถบรรทุกไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยความสูงของตัวรถ หากอยู่ใกล้ด้านหน้ารถบรรทุกมากเกินไปอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
จุดที่ 4 ด้านหลังรถบรรทุก เป็นจุดที่ไม่ควรขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถบรรทุก เนื่องจากของที่บรรทุกมาอาจมีสินค้าขนาดใหญ่หรือตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้กระจกมองหลังไม่สามารถมองเห็นด้านหลังของรถได้ ควรขับเว้นระยะเมื่อต้องขับตามหลังรถบนรรทุก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เผื่อการเบรกกะทันหันหรือการถอยหลังของรถบรรทุก

เปิดรหัสลับสัญญาณไฟรถบรรทุกที่ควรรู้!
หากคุณกำลังจะแซงหรือขับใกล้ๆรถบรรทุกแล้วคนขับเปิดสัญญาณไฟมา มีความหมายว่าอย่างไร ไปดูกันเลย!
เปิดไฟเลี้ยวขวา
หมายถึง ไม่ปลอดภัย ห้ามแซง
เมื่อคุณขับรถอยู่ด้านหลังรถบรรทุกและพยายามจะแซง หากรถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวขวา ทั้งที่ด้านหน้าไม่มีทางเลี้ยว ไม่มีซอย นั่นหมายความว่าเขากำลังบอกเราไม่สามารถขับแซงไปได้เนื่องจากมีรถสวนขึ้นมานั่นเอง
เปิดไฟเลี้ยวซ้าย
หมายถึง สามารถแซงได้
ถ้าคุณกำลังจะแซงรถบรรทุกและเขาเปิดไฟเลี้ยวซ้าย โดยที่ด้านหน้าไม่มีซอยหรือทางเลี้ยว นั่นหมายความว่าสามารถแซงออกขวาได้ ด้านหน้าปลอดภัยไม่มีรถสวน
เปิดไฟเลี้ยวซ้ายที-ขวาที สลับกัน
หมายถึง สัญญาณเตือนให้รถด้านหลังระวัง
เมื่อรถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวซ้ายที-ขวาที นั่นแปลว่ารถบรรทุกกำลังจะเบรก เพื่อให้รถที่ตามมาด้านหลังลดความเร็วลงและห้ามแซงขึ้นไป เพื่อความปลอดภัย
เปิดไฟสูงใส่รถที่กำลังจะแซง
หมายถึง เป็นการเปิดไฟให้ทาง สามารถแซงได้
ในช่วงกลางคืนที่เรากำลังจะแซงขวาและรถบรรทุกที่เรากำลังจะแซงเปิดไฟสูงให้นั่นหมายถึงสามารถแซงได้ การที่เปิดไฟสูงเป็นการช่วยส่องทางให้เรามองทางด้านหน้าได้ชัดเจนมากขึ้น
กระพริบไฟสูง 1 ครั้ง
หมายถึง กำลังเช็กเพื่อนร่วมทาง
ในกรณีที่ขับสวนผ่านรถบรรทุกแล้วกระพริบไฟรถใส่ 1 ครั้ง เป็นการเช็กเพื่อนร่วมทางว่าไม่ได้หลับใน ทางที่เราผ่านมานั้นมีด่าหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นไหม หากไม่มีอะไรให้กระพริบไฟส่งสัญญาณกลับ 1 ครั้ง
ดับไฟหน้าแล้วเปิดขึ้นใหม่
หมายถึง ให้ระวัง ด้านหน้าอาจมีด่านหรือเกิดอุบัติเหตุ
ในกรณีที่เราขับรถสวนกับรถบรรทุกแล้วเขาดับไฟหน้าแล้วเปิดขึ้นใหม่ เป็นการบอกว่าทางด้านหน้าอาจมีการตั้งด่าน หรือ เกิดอุบัติเหตุขึ้น ให้เราชะลอความเร็วลง
สัญญาณเหล่านี้ อาจจะมีหลายๆท่านที่ไม่รู้ถึงความหมายของสัญญาณไฟ ทางไพศาลแคปปิตอล เลยนำข้อมูลมาสรุปให้ทุกท่านเข้าใจได้ง่ายๆ เพื่อช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น

ไขข้อสงสัยทำไมรถบรรทุกต้องติด GPS Tracking
จากประกาศกรมการขนส่งทางบก GPS กำหนดให้รถบรรทุกวัตถุอันตราย รถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารสองชั้น และ รถบรรทุกขนาดใหญ่ (10ล้อขึ้นไป) ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS Tracker) พร้อมด้วยเครื่องรูดใบขับขี่ (RFID Magnetic Card Reader) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับศูนย์บริหารจัดการเดินรถของกรมการขนส่งทางบก โดยจัดเก็บข้อมูลรถทุก 1 นาที เป็นข้อมูลการใช้ความเร็ว, ชั่วโมงการขับขี่ และตำแหน่งพิกัดของรถ ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งติดตามพฤติกรรมของผู้ขับรถได้แบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ
ติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์
เมื่อเราติดตั้ง GPS Tracking เราจะสามารถติดตามตำแหน่งของรถบรรทุกได้แบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางย้อนหลังได้ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่าคนขับไปที่ใดมาบ้างและมีการขับออกนอกเส้นทางหรือไม่ อีกทั้งยังช่วยให้ทางกรมขนส่งสามารถติดตามรถได้โดยตรง และหากมีเหตุโจรกรรมเกิดขึ้นเราสามารถติดตามรถที่โดนโจรกรรมได้แบบเรียลไทม์
ควบคุมความเร็วในการขับขี่
เพื่อกำหนดไม่ให้ผู้ขับรถบรรทุกขับด้วยเร็วที่เกินกำหนด สำหรับความเร็วรถบรรทุกที่กฎหมายกำหนด คือ รถบรรทุก 10 ล้อ กำหนดด้วยความเร็วที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และรถหัวลาก
กำหนดความเร็วอยู่ที่ 60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
ลดการเกิดอุบัติบัติเหตุ
เนื่องจากรถบรรทุกเป็นรถคันใหญ่กว่ารถประเภทอื่นๆทำให้ทัศนวิสัยของผู้ขับรถอาจไม่กว้างพอด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น การติดตั้ง GPS และ เครื่องรูดใบขับขี่ จะทำให้สามารถควบคุมความเร็วรถบรรทุกได้ เพราะถ้าหากขับด้วยเร็วที่เกินกำหนด
เครื่องรูดใบขับขี่จะส่งเสียงเตือน จนกว่าความเร็วของรถจะลดลง
สรุป
การติดตั้ง GPS Tracking ติดไว้เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งสามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ขับรถได้แบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ติดตั้งหรือไม่ดูแลรักษาเครื่องGPS ให้ส่งสัญญาณได้ตามปกติ ถือว่ามีโทษ ปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท และจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถคันดังกล่าวได้

เรื่องที่ต้องรู้ก่อนขับรถบรรทุก
ต้องมีใบขับขี่ประเภท 2
โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นการขับชนิดใดก็ตาม จำเป็นที่จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมาย รถบรรทุกเองก็เช่นกัน โดยรถบรรทุกนั้นจะแบ่งใบขับขี่เป็น2ประเภท ดังนี้
1.ใบขับขี่ประเภท 2 บ.2 คือ ใบอนุญาตขับประเภทส่วนบุคคล เป็นการอนุญาตให้สามารถขับขี่เพื่อขนส่งส่วนบุคคลได้
เช่น รถบัส,รถบรรทุก6ล้อ และรถบรรทุก 10ล้อ เป็นต้น (ป้ายทะเบียนขาว)
2.ใบขับขี่ประเภท 2 ท.2 คือ ใบอนุญาตขับขี่เพื่อขนส่งได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นใช้สำหรับขนส่งเพื่อใช้ในธุรกิจส่วนตัว พานิชย์ ใช้ขนส่งเพื่อรับจ้าง หรือประกอบธุรกิจขนส่ง
เช่น รถบรรทุกสาธารณะ,รสบัส,รถบรรทุก 6-10 ล้อ (ป้ายทะเบียนสีเหลือง)
ต้องรู้เรื่องข้อจำกัดทางเวลาและพื้นที่ห้ามวิ่ง
วิ่งบนทางราบ
- ห้ามรถบรรทุกก๊าซ วัตถุไวไฟ ตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป และรถพ่วง เดินรถในเขตกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์
- รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งในเวลา 06.00-09.00 น. และ เวลา 16.00-20.00 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ
- รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งในเวลา 06.00-10.00 น. และ เวลา 15.00-21.00 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ
- ห้ามรถบรรทุกอื่น เช่น บรรทุกซุง เสาเข็ม เดินรถ เวลา 06.00-21.00 น.
วิ่งบนทางด่วน
- รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-09.00 น. และ 16.00-20.00 น.
- รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามวิ่งเวลา 06.00-09.00 น. และ 15.00-21.00 น.
- รถบรรทุกสารเคมี ห้ามวิ่งเวลา 06.00-10.00 น. และ 15.00-22.00 น.
ต้องมีความรู้เรื่องน้ำหนักรถบรรทุก
โดยน้ำหนักรถบรรทุกที่ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดนั้น แบ่งแยกเป็นประเภทได้ดังนี้
- รถบรรทุกขนาด 4 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 9.5 ตัน
- รถบรรทุกขนาด 6 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 15 ตัน
- รถบรรทุกขนาด 10 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 25 ตัน
- รถพ่วง 6 เพลา 22 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 50.5 ตัน
รถบรรทุกต้องมีผ้าคลุมแน่นหนาและอุปกรณ์ล็อคเพื่อความปลอดภัย
ต้องใช้ผ้าใบสีทึบในการคลุม และต้องยึดติดกับตัวรถเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งของรั่วไหล ตกหล่น จนก่อให้เกิดอันตรายแก่เพื่อร่วมทางได้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก
โดยมีโทษปรับสูงสุดอยู่ที่ 50,000 บาท และนายทะเบียนอาจพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต ส่วนคนขับมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และหากเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ผู้ประกอบการจะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกด้วย
ต้องติดตั้งและเปิดGPSตลอดเวลา
จากประกาศกรมการขนส่งทางบก GPS กำหนดให้รถบรรทุกวัตถุอันตราย รถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารสองชั้น และ รถบรรทุกขนาดใหญ่ (10ล้อขึ้นไป) ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS Tracker) พร้อมด้วยเครื่องรูดใบขับขี่ (RFID Magnetic Card Reader) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับศูนย์บริหารจัดการเดินรถของกรมการขนส่งทางบก โดยจัดเก็บข้อมูลรถทุก 1 นาที เป็นข้อมูลการใช้ความเร็ว, ชั่วโมงการขับขี่ และตำแหน่งพิกัดของรถ ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งติดตามพฤติกรรมของผู้ขับรถได้แบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ติดตั้งหรือไม่ดูแลรักษาเครื่องGPS ให้ส่งสัญญาณได้ตามปกติ ถือว่ามีโทษ ปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท และจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถคันดังกล่าวได้

การเงินสะดุดไปต่อไม่ไหวรีไฟแนนซ์หรือปล่อยยึดดี?
ในบางครั้งผู้ประกอบการบางคนประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินติดขัด ธุรกิจไปต่อไม่ได้ ต้องการเงินก้อนมาหมุนเวียนธุรกิจ ผู้ประกอบการบางท่านอาจคิดที่จะขายรถไปก่อนเพื่อนำเงินก้อนมาใช้และตัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่างวดรถออกไป บางท่านอาจอยากที่จะรีไฟแนนซ์แต่มีข้อมูลไม่มากพอ วันนี้ทางไพศาลแคปปิตอลมีข้อแนะนำมาให้สำหรับผู้ที่ยังลังเลระหว่างปล่อยยึดกับรีไฟแนนซ์มาให้ค่ะ
รีไฟแนนซ์ คืออะไร?
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินหรือรู้จักคำว่ารีไฟแนนซ์ (Refinance) กันมาบ้าง ซึ่งการรีไฟแนนซ์คือการขอสินเชื่อก้อนใหม่มาโปะหนี้ก้อนเดิม โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยและอัตราการผ่อนในแต่ละงวดถูกลง ทำให้มีเงินส่วนต่างจากรายจ่ายที่ลดลง สามารถนำไปหมุนเวียนใช้จ่ายหรือหมุนเวียนในธุรกิจต่อได้
รีไฟแนนซ์ Vs ขายรถบรรทุกแบบไหนดีกว่ากัน
เมื่อถึงช่วงวิกฤตไม่สามารถไปต่อได้ อาจทำให้เราเกิดคำถามกับตัวเองว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้? จะขายรถไปเลยดีไหมจะได้ไม่ต้องมีภาระในการผ่อน หรือจะรีไฟแนนซ์แล้วผ่อนต่อดี
ทางไพศาลจะยกตัวอย่างข้อดีและข้อเสียของการขายและรีไฟแนนซ์ มาให้คร่าวๆเพื่อประกอบการตัดสินใจกันค่ะ
ข้อดีของการขายรถบรรทุก
- ได้เงินก้อนใหญ่
- ไม่ต้องมีภาระในการผ่อนรถอีกต่อไป
ข้อเสียของการขายรถบรรทุก
ไม่มีรถบรรทุกไว้ใช้ในการประกอบอาชีพเสริมต่าง ๆ ทำให้รับงานต่างๆได้ยากขึ้น
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์
- สามารถนำรถบรรทุกไปวิ่งงานต่อได้ โดยไม่ต้องนำรถมาจอดไว้
- อัตราดอกเบี้ยถูกลง
- มีเงินส่วนต่างเหลือใช้จากการโปะหนี้จากสถาบันการเงินเก่า ไว้ใช้จ่าย
-สามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนได้ เพื่อให้ชำระค่างวดต่อเดือนน้อยลงกว่าเดิม
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์
- เตรียมเอกสารในการรีไฟแนนซ์ค่อนข้างเยอะ
- อาจมีค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
- ระยะเวลาในการผ่อนนานขึ้น ปิดยอดได้ช้าลง
หากท่านใดกำลังสนใจที่จะรีไฟแนนซ์รถบรรทุกหรือมีความต้องการที่อยากจะย้ายจากไฟแนนซ์ที่เดิมมายังที่ใหม่ สามารถเลือกใช้บริการรีไฟแนนซ์กับไพศาลแคปปิตอล เพราะเราให้บริการแบบครบวงจร
ไม่ว่าจะเป็น การจัดไฟแนนซ์ รีไฟแนนซ์ หรือ ย้ายไฟแนนซ์ ทางไพศาลแคปปิตอลมีพนักงานคอยแนะนำข้อมูลให้แก่ลูกค้าทุกท่าน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 092-9217999 หรือ LINE @Paisancapital